Sunday 28 May 2017

Anna and the French Kiss


Anna and the French Kiss


ความจริง Anna and the French Kiss เป็นหนังสือที่เราเห็นใน book hual ของ booktuber ทั้งหลายแล้วอยากได้มาก มันเป็นหนึ่งในงานซีีรีส์ของ Stephanie Perkins ที่จะยังมีอีก 2 เล่มด้วยกัน จนมีพี่จากในพันทิปส่งมาให้ เขาซื้อมาจากร้านหนังสือในฟิลิปปินส์ พออ่านจบแล้วก็ส่งให้เราตอนแวะกลับมาเยี่ยมบ้านที่ไทย เราได้มานานมากแล้วเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดก็กลางๆปี 2014 โน่นแน่ะ แต่กว่าเราจะได้อ่านก็นานมากแล้ว น่าจะกลางปีที่แล้วได้มั้ง ฮ่าๆ นานจัด กว่าจะมีเวลาทำรีวิว 

เรื่องราวของ Anna เด็กสาวม.ปลายที่มีพ่อเป็นนักเขียนนิยายน้ำเน่าที่เพิ่งดังเป็นพลุแตก (อ่านๆไปแล้วรู้สึกเหมือนคนเขียนแอบจิกลุงนิคยังไงชอบกล) อยู่ดีๆนางก็ถูกพ่อจับส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่ปารีสโน่น ทั้งๆที่เธอกำลังไปได้สวยกับหนุ่มคนคุยที่ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยกันที่โรงหนัง ชีวิตกับเพื่อนสนิทก็เฮฮากันดี ไปอยู่ที่โน่นเธอได้พบกับเพื่อนใหม่และหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-ฝรั่งเศสอย่าง Étienne St. Clair แม้เขาจะมีแฟนสาวรุ่นพี่เป็นตัวเป็นตนแล้วแต่ Anna ก็อดที่จะตกหลุมรักไม่ได้

เนื้อเรื่องก็ออกแนว puppy love ตามประสา YA เนื้อหาเบาๆน่ารักๆน่ะแหละ ส่วนตัวเราชอบบุคลิกของ Anna ตรงที่นางเป็นคนชอบดูหนัง ถึงขั้นมีบล็อกวิจารณ์หนังของตัวเอง แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนในสาขาที่เกี่ยวข้อง เราฟินแทนนางมากที่ได้ไปดูหนังในโรงดีๆในปารีส จะว่าไป Stephanie บรรยายลัษณะของตัวละครแต่ละตัวเก่งมากเลยนะ มันชัดเจนจนเหมือนเรามองเห็นแต่ละคนอยู่ตรงหน้า ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครง่ายมาก เหมือนเป็นร่วมชั้นเลยก็ว่าได้ รู้สึกแปลกในเชิงบวกอยู่หน่อยนึงกับพระเอก คือไม่มีบุคลิกอะไรที่เรารู้สึกอยากได้น่ะ ปกติเวลาอ่านอะไรหลายเรื่องจะรู้สึกคล้อยตามว่าพระเอกดูเป็นที่น่าอยากได้จัง ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติ แต่กับ
Étienne นี่เราเฉยๆนะ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แค่ไม่นึกอยากได้ตามนางเอกอะ หรือเพราะเขาบรรยายว่าค่อนข้างเตี้ยก็ไม่รู้สินะ แต่มันทำให้เรารู้สึกดีแปลกๆบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเรายอมรับเขาเป็นพระเอกได้แม้เราจะไม่ได้หลงใหลในตัวเขาน่ะ จะว่าไปเรากลับชอบ Josh (ที่เดี๋ยวจะเป็นพระเอกในอีกเรื่องของซีรีส์นี้) มากกว่าซะอีก

ในมุมนึงของเรื่อง Anna ดูเหมือนเป็นนางร้ายอยู่หน่อยๆ นางไปชอบคนที่มีเจ้าของแล้ว แม้จะพยายามห้ามใจแต่ก็ไม่พยายามเอาตัวออกห่างเท่าที่ควร อิตา Étienne พระเอกก็พอกัน ทั้งๆที่ตัวเองมีแฟนแล้วก็ยังปันใจให้กับคนที่รู้สึกตรงสเป็คมากกว่า ทำไมไม่รีบบอกเลิกคนเก่าให้มันจบๆไปก่อนเริ่มศึกษาดูใจคนใหม่ละ แต่ก็พูดยากนะ บางทีเราก็ดูไม่ออกว่าเรามีใจให้ใครมากกว่าเพื่อนรึเปล่าน่ะ แต่รวมๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ลำไยมากจนน่ารำคาญอะ อ่านได้แบบเรื่อยๆเพลินๆดี

ส่วนตัวรู้สึกว่าฉากฟินๆจิ้นๆมีน้อยไปนิด ไม่สมกับความเป็นปารีสเลย ไม่รู้เพราะชื่อมันที่มีคำว่า French Kiss หรือเปล่าที่ทำให้เราคาดหวังมากเกินไปแบบนั้น แต่ฉากฟินที่เด่นๆหน่อยเหมือนจะมีแค่ 2 ฉากเอง คือฉากในโรงหนังกับฉากนอนหอพัก ใครที่ชอบแบบจิกหมอนปรอทแตกอาจจะต้องผิดหวังนะ เรื่องนี้เขาออกแนวใสๆมากกว่า มีจุ๊บเจิ๊บกันบ้างพอหอมปากหอมคอ แล้วก็น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีบรรยากาศของปารีสเยอะเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะเรารู้สึกปารีสค่อนข้างดี ก็เลยคิดว่ามันน่าจะสนุกกว่าถ้าสามารถบรรยายฉากและสถานที่ได้ละเอียดยิบกว่านี้

ภาษาอ่านง่ายมากๆ แทบไม่มีศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายโผล่มาให้เห็นเลย มีบ้างนิดๆหน่อยๆแต่จะไม่หาก็ได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแกนของเรื่องอะไร ภาษาออกแนวเสียดสีเหน็บแนมเล็กๆเวลาเล่าหรืออธิบายถึงบางอย่าง เราชอบอะไรแบบนี้นะ มันไม่ทื่อๆน่าเบื่อดีอะ ทำให้ยิ้มได้แม้มันจะไม่ใช่เรื่องตลก

อ่านอะไรต่อดี >> Lola and the Boy Next Door และ Isla and the Happily Ever After ของ  Stephanie Perkins




Saturday 13 May 2017

Faking It

สำหรับเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่เรารอคยจะอ่านมานานมากๆ Faking It หนึ่งในหนังสือซีรีส์ของ Cora Carmack จริงๆเล่มนี้ดังพอสมควรมาหลายปีแล้วละ แต่เราเพิ่งมีโอกาสจะได้อ่าน ในไทยไม่เคยเห็นที่ไหนขายเลย ไปเดินหาที่ Kinokuniya สาขา Emporium ก็ไม่มี เลยถอดใจพับโครงการไป เพิ่งได้มาโหลดเข้า Kindle นี่แหละ 

Faking It

Faking It เป็นเรื่องราวชีวิตของ Max ที่ต้องเฟคความเป็นตัวของตัวเองซ่อนไว้ต่อหน้าพ่อแม่ ด้วยความที่ตัวนางเองเป็นสาวแสบใช้ได้ สัก เจาะ ทำหัวสีๆ เป็นนักร้องวงร็อก มีอาชีพเสริมคือกลางวันทำงานร้านสักและเต้นในบาร์ตอนกลางคืน แถมมีแฟนแต่ละคนพ่อแม่หัวโบราณของนางก็ไม่เคยจะแอพพรูฟ นางก็เลยต้องใช้ชีวิตซ่อนแอบความเป็นตัวเองมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกับแฟนที่ชื่อ Mace ก็เหมือนกัน นางไม่กล้าที่จะให้พ่อแม่ที่มาเยี่ยมช่วงวันขอบคุณพระเจ้าโดยไม่บอกกล่าวพบกับเขา นางเลยคว้าเอาหนุ่มดีกรีป.โทด้านการละคอนที่นั่งหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตรักตัวเองแถวนั้นมาทำแฟนหลอกๆโชว์พ่อแม่ อิตาหนุ่มคนนี้ชื่อ Cade ด้วยความที่เป็นนักเรียนการละคอนฮีเลยตกลงอย่างว่าง่าย เหมือนได้ซ้อมการแสดงไปในตัวอะนะ ท่ามกลางความต่างอย่างสุดขั้วของพระเอกนางเอก ดำเนินไปบนโชว์แฟนกำมะลอตบตาพ่อแม่ ความรักมันก็เกิดขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ แต่เรื่องราวไม่ได้ลงเอยง่ายๆ นางเอกเองมีแฟนอยู่แล้วและยังหอบเอาความทรงจำเก่าๆที่แสนจะเลวร้ายไว้ตลอดเวลา

บอกได้คำเดียวว่าวางไม่ลง เนื้อหามันแซบจี๊ดใจมากๆ มันโดนเรามากด้วยความที่เรามีอะไรคล้ายนางเอกหลายอย่าง รวมๆแล้วคือเราต้องซ่อนความเป็นตัวเองกับที่บ้านเหมือนๆกัน รู้สึกเหนื่อยใจเวลาต้องดีลกับที่บ้านพอๆกัน อ่านแล้วอินมากๆ เข้าใจนางเอกสุดๆเลย แล้วทุกๆครั้งที่มีฉากเข้าพระเข้านางนี่ฟินสุดๆ จิกหมอนกระจุย แต่ไม่ได้เหมือนพวก new adult หลายๆเล่มที่เอะอะอะไรพระเอกก็ลากนางเอกขึ้นเตียงยันเต แบบนั้นมันน่ารำคาญอะ แต่อันนี้ Cade พระเอกของเราดูเหมือนเป็นคนเรียบร้อย ไม่ได้รอบจัด แต่ก็มีเสน่ห์เหลือร้าย เนียนๆเป็นแฟนนางเอกได้สมจริงมากเว่อร์ พ่อแม่นางไม่ขัดสักคำ ปลื้มลูกเขยมากซะจนอยากให้อยู่ไปยาวๆ ทำเสียแผนเยอะเหมือนกัน

เราชอบวิธีการเล่าเรื่องที่สลับไปมาระหว่าง Cade กับ Max นะ สลับกันบทต่อบทไปตามไทม์ไลน์เรื่องเลยอะ มันทำให้เราอินในความเป็นตัวละครแต่ละตัวมากๆ ถ้าบรรยายแบบบุคคลที่สามมันจะทำให้กร่อยไปเลยทันที แต่อันนี้เขาทำให้เราเหมือนไปยืนในรองเท้าของคนทั้งคู่ ในเวลาที่เราอ่านคำว่า I เราจะรู้สึกเป็นทั้ง Cade และ Max อย่างเท่าเทียมกันเลย ไม่มีอคติกับการกระทำหรือการตัดสินใจใดๆของทั้งคู่สักนิด ต่างกับเวลาที่ I เป็นนางเอกหรือพระเอกอย่างเดียวไปตลอดทั้งเรื่อง แบบนั้นจะทำให้เรารู้สึกผูกพันหรืออินกับตัวละครที่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องได้มากกว่า เราเพิ่งเคยอ่านนิยายที่ใช้วิธีการเล่าแบบนี้ครั้งแรกเลย แล้วก็ติดใจมากๆ

อ่านมาจนถึงช่วงท้ายของเรื่อง เป็นช่วงที่เปิดปมเต็มๆว่านางเอกมีปมในใจอะไรนักหนา ตรงนี้แอบรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เหมือนนางเอกเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาเป็นเหตุผลบังหน้ากลบนิสัยเสียๆของตัวเอง อ่านแล้วจะเข้าใจเอง คือเราอ่านแล้วมองว่าปมชีวิตพวกนั้นไม่ใช่ปมที่จะส่งผลให้เกิดสันดานเสียอันนี้ มันไม่เกี่ยวกันเลย แต่เหมือนนางใช้มาอ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบในการกระทำที่เกิดจากสันดานเสียของตัวเองมากกว่า แบบอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าหมดรักเอาได้ง่ายๆ คนอะไรวะ ประมาณนี้ แต่นางเอกก็ไม่จำเป็นต้องนิสัยดีเพียบพร้อมอะเนอะ ฮ่าๆๆ 

สาแก่ใจกับที่รอคอยจะอ่านมาหลายปีมากๆ นี่ถ้าเป็นฮอลิเดย์ยาวๆหรือเป็นเด็กปิดเทอมไม่ต้องทำงานทำการอะไรคงตะลุยอ่านม้วนเดียวจบแบบ one sitting ไปแล้ว วางไม่ลงจริงๆ อ่านไปตบเข่าฉาดไปหลายตอน จิกหมอนไปก็หลายที เหมาะมากๆสำหรับคนที่ชอบนิยายรักแบบที่ไม่ได้โรแมนติคหรือหวานเลี่ยน มีความเซ็กซี่นิดๆและมีปมชีวิตบ้างพอให้พล็อตไม่กลวงจนเกินไป

อ่านอะไรต่อดี >> Losing It และ Finding It ของ Cora Carmack



Wednesday 10 May 2017

One Match

One Match

เล่มนี้พูดตรงๆว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมาก โหลดมาจาก Kindle store เพราะมันโฆษณาอยู่พอดี และที่สำคัญคือมันฟรี คนงกแบบเรามีเหรอจะปล่อยผ่าน ก็กดเข้าไปอ่านคร่าวๆ พอให้เห็นว่าไม่แฟนตาซีไม่ดิสโทเปียน แค่นี้ก็เอามาได้เลย จะอ่านไม่อ่าน จะอ่านตอนไหนเดี๋ยวว่ากัน เช็คราคาใน store อีกทีตอนห้าทุ่มของวันที่ 10 มันขึ้นราคามาเป็นดอลนึงแล้วเว่ย ฮ่าๆ สะใจ ดอลเดียวเซฟได้ก็เอา นิยายเรื่องนี้เป็นงานของ J.Y. Chung ผู้ที่เราพยายามหาข้อมูลแล้วก็หาไม่เจอเลย ไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นชายหรือหญิงด้วยซ้ำ 

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมหาคู่ที่ชื่อว่า One Match ของผู้หญิงอังกฤษที่ชื่อ Claire ซึ่งไอ่เจ้า One Match เนี่ยนอกจากเป็นเวบหาคู่แล้ว มันยังมี device อัจฉริยะที่เอามาแปะตามตัวไว้ 7 วัน มันก็จะถ่ายทำหรือสแกนอะไรจากตัวเราที่ทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเอาข้อมูลไปเข้า database ในบริษัท จากนั้นจะประมวลผลและหาคู่ออกมาให้เรา หาให้แค่คนเดียวโดดๆเลยนะ มันจะส่งชื่อมาพร้อมกับวันเวลาและสถานที่นัดเดท ให้เราไปเจอกับคู่เราตามนัด สาว Claire ตอนแรกก็ลังเลแหละ แต่สุดท้ายก็เปิดใจยอมทดลองดู ปรากฏอีโปรแกรมมันจับคู่ให้กับผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ Beck นางมีผับเก๋ๆที่ต่างจังหวัด ลุงตายแล้วยกมรดกให้ นางก็ทำต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งนางเป็นเลสเบี้ยนไง ตอนแรกทั้งสองคนก็ตกใจนิดหน่อยเพราะ Claire ไม่ได้เป็นเลสฯ แต่ทั้งคู่ก็ตกลงคบกันเป็นเพื่อนมาเรื่อยๆ โดยที่ระหว่างนั้นยัย Claire นางก็เดทกับหนุ่มหลายคนนะ 

Claire ทำงานเกี่ยวกับบัญชีและงบของห้างค้าปลีกหรูหราแห่งนึงที่ชื่อ Wyman มีวันนึงเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ เป็นหนุ่มหล่อวิสัยทัศน์ไกลชื่อ Lewis เพื่อให้เรื่องมันง่ายเข้า สุดท้ายอิตานี่ขอ Claire เดท ส่วนตัวนางเอกก็รู้สึกแปลกๆกับ Beck ขึ้นทุกวัน เหมือนไม่แน่ใจว่าจะเริ่มชอบ Beck เข้าให้แล้วหรือแค่ติดเพื่อน ส่วน Lewis ก็เป็นเหมือนเจ้าชายที่ผู้หญิงทั่วลอนดอนอยากจะได้ คือเพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติรูปสมบัติอะ สุดท้ายแล้ว Claire จะลงเอยกับใครก็ต้องไปติดตามอ่านเอานะ

ที่เราชอบมากๆในเรื่องคือ Chung อธิบายความรู้สึกของคนที่สับสนว่าตัวเองจะเป็นเกย์หรือเปล่าได้ดีมากเลย โดยเฉพาะกับคนที่มาค้นพบตัวเองเอาตอนจะเข้าหลักสามแล้วเนี่ย เราว่ามันสบสนมากกว่าตอนยังวัยรุ่นอีกนะ (ปสก.ตรงเราเองเลย) มันมีความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะ เราไม่รู้ว่าถ้าทุกๆคนรู้แล้วเขาจะยังเป็นเหมือนเดิมกับเราไหม เราไม่พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงนั้น เราเลยไม่กล้ายอมรับตัวเองหรือตัดสินใจว่าตกลงเราเป็นหรือไม่ได้เป็น อีกส่วนที่ชอบคือเขาใส่รายละเอียดของสถานที่ได้ดีสุดๆไปเลย ดูทำการบ้านมาดี มันจะมีตอนนึงที่ Claire เดินทางมาไทย นางไปพักที่โรงแรม Buddy ตรงข้าวสารอะ จากนั้นนางเดินไปแถวจักรพงษ์เพื่อจะไปบริษัททัวร์ลมพระยาเพื่อจองรถทัวร์ไปเกาะเต่า โอ๊ยยย บ้ามาก คือคนแต่งเคยมาไทยแน่ๆถึงเขียนได้เป็นคุ้งเป็นแควแบบนี้

ส่วนที่ทำให้เรื่องรู้สึกน่าเบื่อมีอยู่นิดหน่อย เป็นช่วงที่อธิบายรายละเอียดของงานหรือโปรเจ็คที่ Wyman ละเอียดเกินไป มันไม่ได้มีศัพท์เทคนิคอะไรเยอะหรอก คนไม่ได้เรียนธุรกิจมาก็อ่านได้ง่ายดีอยู่ แต่มันน่ารำคาญตรงที่ใส่ดีเทลเยอะมาก ข้อดีของมันก็คือความสมจริงอะนะ แต่พอมันมากไปแล้วมันน่าเบื่อไง อ่านไปก็ตามกับตัวเองไปว่าไอ้ Wyman มันจะดีลกับอิตา Ned ได้หรือไม่นี่กูจำเป็นต้องรู้มั้ยวะ ถ้าเอาไปทำหนังทำละครมันจะดีมากเลย มันเก็บรายละเอียดดีกว่า ถ้าอ่านเอาอาจจะรู้สึกน่าเบื่อนิดนึง เราเองก็มีข้ามๆไปบ้างนิดหน่อย กวาดตาดูคีย์เวิร์ดสำคัญเผื่อจะมีจุดพลิกผัน ถ้าดูว่าไม่มีก็ข้ามเลย ไม่งั้นอืดแย่

สำหรับ One Match ถือเป็นนิยาย LGBT เล่มที่สองที่เราอ่านนะ ก็สนุกแบบเรื่อยๆมาเรียงๆดีอะ ไม่ถึงกับติดงอมแงมจนวางไม่ลง แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อจนหาวหวอด มีอืดๆนิดหน่อยช่วงที่อธิบายดีเทลงานของ Wyman มากเกินไปอย่างที่บอก นอกนั้นรวมๆแล้วอ่านเพลินดี

อ่านอะไรต่อดี >> I Can't Think Straight by Shamim Sarif

Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi