Monday 4 August 2014

Shanghai Baby


                                               Source

ถ้าจะบอกว่าเราอ่านนิยายเล่มนี้ตอนเรามีอายุแค่ 17 ปี และชอบมันมาก คุณจะเชื่อกันมั้ย? 

แน่นอนว่าคนที่เคยอ่านมันมาแล้วเหมือนๆกับเราคงจะตอบคำถามข้างบนของเราได้ทันทีโดยไม่ลังเลอะไร แต่สำหรับใครที่ที่ยังไม่เคยอ่านหรือไม่เคยรู้จักนิยายเรื่องนี้มาก่อน ขอให้ลองอ่านรีวิวของเราด้านล่างนี้ดู อ่านจบแล้วช่วยคอมเมนท์ตอบเราด้วยนะว่าคุณเชื่อหรือเปล่า

นิยายของ Wei Hui ที่มีชื่อว่า Shanghai Baby หรือในชื่อภาษาจีนว่า 上海宝贝 (อ่านเป็นไทยว่าเซี่ยงไฮ้เบ้าเบ่ย) เรียกได้ว่าเป็นนิยายที่แหวกขนบของประชาชาติชาวจีนเป็นอย่างมาก มากถึงขนาดที่ว่าทางการจีนไม่อนุญาตให้มีการเผยแพร่งานและสั่งเผาเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นธรรมดาโลกที่ยิ่งมีการต่อต้านและการปิดบังเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ก็เลยมีการทำก็อปปี้ไฟล์แจกกันแบบใต้ดินในโลกอินเตอร์เนท ทั้งการซีร็อกซ์ขายกันแบบผิดกฎหมาย แต่กลับกลายเป็นว่านิยายเรื่องนี้ติดอันดับ international bestseller ในประเทศตะวันตกและได้รับการแปลไปมากมายหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วยที่ได้คำผกามาเป็นผู้แปล ซึ่งจุดนี้เราไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมถึงเป็นเธอ ก็นิยายมันแซบขนาดนี้นี่นะ ในแวดวงนักเขียนนักแปลหญิงไทยแล้วจะหาใครหน้าไหนแซบแซงหน้าคำผกาเป็นไม่มี เราเชื่ออย่างนั้น

เนื้อเรื่องว่าด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยความทะยานอยากและความปรารถนาทางเพศอันเร่าร้อนที่ถมไม่เต็มของหญิงสาวที่ชื่อนิกกิ หรือคุณจะเรียกเธอว่าโกโก้ก็ได้นะ เธอชอบที่จะให้เพื่อนๆของเธอเรียกอย่างนั้นเพราะโกโก้ ขาแนล ดีไซเนอร์หญิงชื่อก้องเป็นบุคคลในดวงใจของเธอ โกโก้เกิดมาในครอบครัวชาวจีนที่แน่นอนว่าเป็นพวกหัวอนุรักษ์นิยม พ่อแม่ของเธอที่จัดได้ว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม (ถ้าจำไม่ผิดพ่อเธอเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยทีเดียว) เลยไม่ค่อยชอบใจนักที่เธอใช้ชีวิตอิสระแบบชาวตะวันตก เธอหอบผ้าหอบผ่อนย้ายออกไปเช่าอพาร์ทเมนท์กับเทียนเทียนแฟนหนุ่มของเธออย่างง่ายๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียนของเธอก็ทำให้ไม่มีใครขวางเธอได้ ระหว่างนั้นเธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวไปพลางๆ เธอมีความฝันอย่างแรงกล้าว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง ทั้งหมดทั้งปวงนี้เกิดขึ้นภายใต้ท้องฟ้าของเมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองที่เรียกได้ว่าทันสมัยและมีความเป็นสากลมากที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศจีน

โกโก้ใช้ความทะยานอยากและแรงปรารถนาเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของเธอ เธอบอกว่ามันคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ ด้วยความที่โกโก้เป็นคนที่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบปล่อยให้ไหลไปตามแรงปรารถนา มันจึงทำให้เธอพบกับความรักมากมายหลายรูปแบบ เธอรักกับเทียนเทียนแฟนหนุ่มของเธออย่างจริงใจ เริ่มจากความเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่งในร้านที่เธอทำงานอยู่ จากนั้นก็เริ่มเดทกันและเป็นแฟนกันในที่สุด เทียนเทียนเป็นชายหนุ่มที่ซ่อนไว้ซึ่งความเศร้าสร้อย จะว่าไปแล้วก็ไม่ซ่อนด้วยซ้ำนะ เพราะเรารับรู้ถึงความเป็นคนโศกของเขาตั้งแต่เริ่มปรากฏตัวในเรื่องเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เขาเป็นคนแบบนั้น มีปมอะไรหลายอย่างในชีวิตที่ชักพาให้เขากลายเป็นคนที่ดูหดหู่ เซื่องซึม ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานอันใดในชีวิต มันเลยส่งผลให้เขาเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศ เขาจึงให้ความสุขแก่โกโก้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ความปรารถนาทางเพศของโกโก้นั้นเป็นเหมือนทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไม่อาจถมให้เต็มได้โดยง่าย เมื่อโอกาสมาถึง หลังจากที่เธอได้พบกับมาร์ค หนุ่มชาวเยอรมันที่มีครอบครัวแล้ว เธอก็ปล่อยตัวปล่อยใจรับรสชาติอันร้อนแรงทางเพศที่เขาหยิบยื่นให้เธออย่างง่ายๆ มาร์คพร้อมจะเติมเต็มในสิ่งที่เธอขาด และเขาก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ทั้งคู่ต้องบอกลากัน

การกระทำทั้งหมดของโกโก้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกผิดนะ การที่ต้องมีคนรักไร้สมรรถภาพก็เป็นเรื่องที่น่าทุกข์ใจอยู่แล้ว แต่ที่มันทุกข์กว่านั้นคือการที่เธอรู้ตัวดีว่าเอาชนะความเห็นแก่ตัวที่จะตอบสนองความปรารถนาของตัวเองไม่ได้ เธอไม่สามารถกักขังหัวใจที่โลดแล่นไปด้วยความปรารถนาทางเพศได้เลย เทียนเทียนเองก็ทุกข์ไม่แพ้กัน จะมีประโยชน์อะไรที่จะมีชีวิตต่อไปโดยที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำให้คนที่รักมีความสุขไปได้ในทุกๆด้าน โศกนาฎกรรมจึงเกิดขึ้นอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยวัยสาว 17 ที่อ่านในตอนนั้นรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้แซบมาก แซบตั้งแต่ที่โกโก้ย้ายไปอยู่ในอพาร์ทเมนท์กับแฟนภายในไม่กี่เดือน แซบที่โกโก้สื่อสารความต้องการทางเพศของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาในหลายๆกรณี ไม่ว่าจะเป็นที่เธอบอกว่าเทียนเทียนให้ความสุขทางเพศแก่เธอไม่พอ หรือตอนที่เธอช่วยตัวเองเสร็จแล้วก็เอานิ้วเข้าปาก แม่เจ้า เราช่วยตัวเองมาหลายครั้งยังไม่เคยมีสักครั้งที่เราคิดจะทำแบบนั้น คนที่ทำแบบนั้นได้อย่างธรรมดาคงจะต้องเป็นคนที่มีความกระหายทางเพศสูงมากจริงๆ แซบที่สามคือเธอสามารถมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่ไม่ได้รักแบบธรรมดามากๆ ไม่ได้มีความผูกพันธ์ทางใจอะไรเป็นพิเศษเลย จะห่วงหาอาทรกันบ้างก็เท่าที่คนรู้จักหรือเพื่อนพึงจะมีต่อกันก็เท่านั้น ไม่ใช่อย่างที่คนรักกันควรจะเป็น

ส่วนตัวคิดว่า Wei Hui สามารถสื่อสารออกมาได้แบบตรงไปตรงมามากๆเลยนะ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องให้เครดิตคำผกาด้วยที่แปลออกมาได้แบบมีรสชาติจัดจ้านมากแม้เธอจะแปลออกมาจากฉบับภาษาญี่ปุ่นก็ตาม ถึงเราจะอ่านนิยายเล่มนี้ด้วยมุมมองของเด็กสาววัย 17 ปีที่อาจจะยังผ่านโลกมาไม่มากนัก แต่ด้วยความชัดเจนของเนื้อหาแล้วเราคิดว่าเราสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และความปรารถนาต่างๆของตัวละครไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่ที่ได้อ่านเลย เราไม่ตัดสินว่าใครผิดหรือถูกนะ บางคนอาจจะใช้มาตรวัดแบบอนุรักษ์นิยมที่มองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ต้องเก็บงำซ่อนเร้นสำหรับผู้หญิง หรือผู้หญิงไม่ควรปล่อยให้แรงปรารถนาทางเพศเข้าครอบงำก็ตาม แต่ด้วยความเป็นคนที่มีหลากหลายอารมณ์ ความคิด ความปรารถนาที่ผสมปนเปอยู่ในตัวแล้วเนี่ย ถ้าเราไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับเขา เราก็ไม่มีทางไปตัดสินเขาได้เลย และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่าเราจะตัดสินใจทำอะไรแบบที่เขาทำหรือเปล่าถ้าเราได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาจริงๆ

นิยายฉบับภาษาไทยที่ได้อ่านนี้เป็นการขอยืมมาจากชั้นหนังสือของน้าสาวคนนึงที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ เราเห็นว่าหน้าปกสวย เราชอบริมฝีปากสีแดงคู่นั้นและชื่อของมันก็สะดุดใจดี เราไม่เคยรู้จักหรือรู้เรื่องย่อของมันมาก่อน จำได้ว่าเป็นหนังสือที่เพิ่งแปลและออกวางขายแบบสดๆใหม่ๆในช่วงนั้นเลย และเมื่อประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสซื้อ Shanghai Baby ฉบับภาษาอังกฤษไว้จากร้านมือสองเจ้าประจำ และยังมีนิยายอีกเล่มที่แต่งโดย Wei Hui เช่นกัน คาดว่าน่าจะได้อ่านในไม่ช้านี้แน่นอน



Sunday 3 August 2014

Enchantée, Paris



ว่ากันตามตรงแล้วเราไม่ค่อยได้อ่านงานของนักเขียนนิยายชาวไทยมากนัก ยิ่งโดยเฉพาะผลงานของนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่งออกมากันสดๆร้อนๆในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆแล้วนี่ยิ่งลืมไปได้เลย แทบไม่เคยได้รับความสนใจจากเราก็ว่าได้ แต่กฎก็ย่อมมีข้อยกเว้นจริงมั้ย ครั้งแรกที่เราพบกับ Enchantée, Paris ตอนนั้นเรากำลังเป็นแฟนหนังสือจากสำนักพิมพ์ A book และเริ่มสนใจเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเลย เพราะฉะนั้นปารีสและคำโปรยของหนังสือที่ว่า นิยายรักของสาวไทยในปารีสมหานครแห่งความโรแมนติก กับ การพบรักครั้งแรกในแบบตะวันออก จึงสามารถดึงดูดความสนใจเราอย่างไม่ยากเลย

                                                                Source

สำหรับเราความรู้สึกที่ได้รับจากนิยายเล่มนี้มันเป็นมากกว่านิยาย เรื่องราวของสาวไทยที่ชื่อ “ไอ” มันเหมือนกับมีคนรู้จักสักคนมานั่งบอกเล่าประสบการณ์การเรียนภาษาในต่างแดนให้ฟังผ่านไดอารีเล่มหนึ่ง รวมทั้งเรื่องราวที่เธอไปพบรักกับผู้ชายคนนึงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนภาษาฝรั่งเศสอย่างไม่ตั้งใจ โดยที่เธอนั้นย้ายไปพำนักยังปารีสพร้อมกับสามีของเธอและชายเกาหลีที่ตกหลุมรักกันนั้นก็มีภรรยาแล้วเช่นกัน เรื่องราวทุกมันเหมือนจริงมากซะจนเราอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของผู้แต่งเองหรือเป็นนิยายกันแน่ เกร็ดความรู้เรื่องต่างๆอย่างศิลปะวัฒนธรรม วิธีการจัดการเรียนการสอนภาษา การใช้ชีวิตในปารีส น่าจะเป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง กับพาร์ทของความรักที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นแล้วมันคงเป็นนิยาย แต่เมื่อนำเอาทั้งสองส่วนนี้มารวมเข้าด้วยกัน มันทำให้รู้สึกเรียลจนไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องแต่ง

ไม่มีอะไรที่เราไม่ชอบเลยสักอย่างจากนิยายเล่มนี้พูดแบบนี้ดีกว่า การบรรยายความทุกบททุกตอนดำเนินไปอย่างแช่มช้า เรื่องราวมันจริงซะจนเหมือนกับว่าเราเป็นแมลงวันแมลงหวี่อะไรสักตัวที่เกาะไปกับสัมภาระประจำวันของ “ไอ” ติดสอยห้อยตามเธอไปในทุกๆที่ ทุกย่างก้าวของชีวิตเธอในมหานครปารีส จากตอนแรกที่อ่านในบทต้นๆจะรู้สึกว่าเหมือนอ่านไดอารีหรืออ่านบล็อกเล่าชีวิตประจำวันของหญิงสาวสักคนที่ไปเรียนภาษาต่างแดน แต่ด้วยความเรียลอย่างที่ว่า เรารู้สึกเหมือนค่อยๆถูกดูดกลืนเข้าไปเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งในเรื่องราวทั้งหมดนั้น สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่ได้มีโอกาสติดตามดูความเคลื่อนไหวของ “ไอ” ไปทุกย่างก้าว 

ด้วยลีลาการเขียนที่ดีแบบนี้ทำให้เราอ่านจบอย่างรวดเร็วมาก ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังทิ้งความรู้สึกเหงา แช่มช้าและอ้อยอิ่งไปกับตัวละครในเรื่องไว้กับเราได้นานพอสมควร เป็นปารีสในมุมเหงาและหน่วงในใจแบบที่เราไม่เคยได้รับจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับปารีสเล่มใดมาก่อน ไม่น่าเชื่ออย่างมากว่านี่จะเป็นผลงานการเขียนนิยายเล่มแรกของวรินดา อลอนโซ ที่ได้ออกกับโปรเจ็คนักเขียนหน้าใหม่ของสำนักพิมพ์ A book งานดีเหลือเชื่อจริงๆ เสียดายมากที่เราหาไม่เจอแล้วว่าเราเอาไปเก็บไว้ตรงไหนของบ้าน จะหาซื้อใหม่ก็ไม่มีแล้วด้วย 

อ่านอะไรต่อดี >> Chocolat chaud à Paris by วรินดา อลอนโซ


Friday 1 August 2014

July 2014 | Book Hual



กลับมาพบกันเป็นครั้งที่สองกับการเห่อหนังสือที่ได้มาประจำแต่ละเดือนค่ะ สำหรับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เรียกว่าซื้อหนังสือน้อยมาก ทั้งๆที่หนังสือที่อยากได้ก็ยังมีเยอะนะ แต่เบบี๋บอกว่าอ่านให้หมดก่อนเถอะไอ่ที่ซื้อๆมาน่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กดีเชื่อฟัง ก็เลยพยายามเพลาๆการซื้อลงไปค่ะ สรุปว่าเดือนนี้ได้มาแค่ 2 เล่มเท่านั้นเอง และเป็น 2 เล่มที่ตั้งตารอมานานมากๆด้วย จะเป็นอะไรต้องลองมาดูกันค่ะ


1. Letters to a Young Poet - Rainer Maria Rilke

สำหรับเล่มนี้ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่เราชอบมากเล่มนึงเลยค่ะ เพราะว่าเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากที่ทำให้เราค้นหาตัวเองเจอ เรารู้จักหนังสือเล่มนี้จากหนังเรื่องโปรดของเราค่ะ ในหนัง Sister Act 2 แม่ชี Deloris เอาหนังสือเล่มนี้ให้ Rita กลับไปอ่าน แม่ชีเล่าเรื่องย่อๆว่ามีหนุ่มคนนึงเขียนจดหมายไปหา Rilke เพราะอยากเป็นนักเขียนมากและส่งตัวอย่างงานไปให้ช่วยดูด้วยว่าดีพอหรือยัง Rilke บอกว่าอย่าถามเลยเรื่องว่าจะเป็นนักเขียนยังไงน่ะ ถ้าคุณตื่นขึ้นมาแล้วคิดถึงแต่การเขียนแล้วละก็ นั่นแปลว่าคุณเป็นนักเขียนแล้วไง ดูคลิปของฉากนี้ประกอบได้เลยด้านล่างนี่นะคะ



สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจของเรามากๆเลย มันทำให้เราตอบตัวเองได้ว่าในชีวิตเราอยากทำอะไรมากที่สุด และเราก็พยายามหาหนังสือมาอ่านให้ได้ เนื้อหาข้างในจะลงเป็นจดหมายแต่ละฉบับที่ Rilke เขียนตอบกลับไปหาเจ้าหนุ่มนักเรียนทหารคนนั้นค่ะ ก่อนหน้านี้เรามีเป็น ebook แล้ว แต่เห็นที่ Dasa มีของเข้าพอดีเลยรีบไปสอย เป็นปกแข็งซะด้วย สภาพยังดีอยู่มากด้วยแหละ หน้าปกเป็นรูปของ Rilke จัดว่าหล่อมากทีเดียว แต่มีคราบกาวสติกเกอร์ราคาละมั้งและรอยถลอกสีขาวจากการลอกสติกเกอร์ที่ว่านิดหน่อยตรง dust jacket หลังช่วงล่าง มีรอยย่นที่สันปกด้านบน แต่ด้านในสวยมากค่ะ สีน้ำตาลอ่อนอมเทาทำจากผ้า ปกหน้าหุ้มกระดาษสีคล้ายกันกับผ้าและประทับตราของสำนักพิมพ์ไว้ค่ะ ดูสวยหรูคลาสสิคดี และด้วยสภาพแบบนี้ค่าเสียหายจัดว่าเอาเรื่องค่ะ 240 บาทจาก Dasa ร้านประจำเจ้าเก่าของเราเอง


2. Untouchable - Mulk Raj Anand

ส่วนเล่มนี้ก็เป็นหนังสืออีกเรื่องที่อยากอ่านมานานเหมือนกันค่ะ เนื้อหาคร่าวๆก็เกี่ยวกับว่าผู้เขียนเล่าถึงการเป็นคนจากวรรณะจันทาลของตัวเองตั้งแต่สมัยเด็กเลยว่าจะต้องพบกับความลำบากยากแค้นยังไงบ้างในสมัยนั้น จนกว่าจะมาถึงวันนี้ที่เขาเป็นถึงด็อกเตอร์ ความจริงเล่มนี้มีฉบับแปลไทยขายแล้วนะคะ ของสำนักพิมพ์สันสกฤต แต่ว่าซื้อมือสองมันถูกดี ฉบับที่ได้มาเป็นของสำนักพิมพ์ Penguin ค่ะ พิมพ์เมื่อปี 1986 แน่ะ เด็กกว่าเรา 2 ปี สภาพก็เหลืองเก่าตามกาลเวลาละค่ะ แต่ไม่เยินเลยนะ เล่มนี้เสียค่าตัวไปเบาะๆที่ 150 บาท ซื้อพร้อมกันกับเล่มบนเลยค่ะ

มีเท่านี้จริงๆค่ะสำหรับเดือนที่ผ่านมา ไว้มาลุ้นกันดีกว่าในสิงหานี้เราจะซื้อมาก ซื้อน้อย หรือไม่ซื้ออะไรเลย


Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi