Monday 21 August 2017

When Dimple Met Rishi


When Dimple Met Rishi

ไม่ค่อยบ่อยนักที่เราจะได้อ่านงานจากนักเขียนอินเดียที่เริ่มมีผลงานดังจากในฝั่งอเมริกาก่อน อย่าง When Dimple Met Rishi นี้เป็นผลงานของ Sandhya Menon ที่ไม่ได้ดังจากในประเทศอินเดียเองเหมือนอย่างงานของนักเขียนอินเดียชื่อดังคนอื่นๆ แน่นอนว่าเราเห็นเล่มนี้มาจาก booktuber อีกแล้ว ส่วนตัวเราอยากลองอ่านงานเขียนจากนักเขียนอินเดียที่มีพล็อคอิงไปทางความเป็นอเมริกันมากขึ้นกว่าที่เราอ่านงานของ Chetan Bhagat ที่ยังมีความเป็นอินเดียอยู่สูง

เรื่องทั้งหมดว่าด้วยเด็กหนุ่มสาว 2 คนที่ชื่อ Dimple Shah และ Rishi Petal ทั้งสองคนนี้ถูกพ่อแม่ให้ดูตัว และถ้าโอเคก็อยากให้แต่งงานกัน ซึ่งแน่นอนว่า geek สาวหัวสมัยใหม่อย่าง Dimple ไม่ชอบใจแน่ๆ ส่วน Rishi หนุ่มแสนดีที่พยายามทำตัวให้ตรงตามที่พ่อแม่คาดหวังก็ไม่ได้ขัดอะไร เขาเดินทางไปแคมป์แข่งสร้างแอพฯมือถือที่ Dimple ไปเข้าร่วม สองคนนี้เจอกันก็ค่อนข้าง cliché แหละ ไม่ชอบขี้หน้า (เพิ่งนึกได้ตอนเขียนโพสต์นี้เลยว่าทำไมหน้าปกถึงมีแก้วกาแฟที่คล้าย Starbucks และทำไมต้องวงเล็บไว้ต่อท้ายคำว่าไม่ชอบขี้หน้า ลองไปติดตามเอาเอง) เริ่มประทับใจ จนญาติดีกันในที่สุด และแน่นอนว่าในการเข้าร่วมแข่งขันทำแอพฯนี้ทั้งสองคนจับคู่กัน (ด้วยความไม่เต็มใจนักของ Dimple ในช่วงแรกๆ) แต่พอเริ่มญาติดีกันแล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี

อิการประกวดทำแอพฯนี้มีเจ้าของงานเป็นผู้หญิงคนนึงที่ดังมากในโลกดิจิตอล จะบอกว่าเธอคนนี้คือไอดอลของ Dimple เลยก็ว่าได้ นางเลยตั้งใจกับทุกๆอย่างมาก มากจนไปกดดันเอากับ Rishi อย่างชนิดที่เรารำคาญแทน อ่านไปก็หงุดหงิดไป ว่าต่อให้เอ็งจับคู่กับคนที่ตั้งใจมาเพื่อเข้าแคมป์เหมือนๆกัน (Rishi เรียนอีกด้านและมาแค่เพื่อดูตัว) แล้วไปไล่จี้กดดันเขาแบบนี้ก็ไม่ถูก มันดู bossy และแพ้ไม่เป็นอะ คือคนอื่นทั่วไปก็คงอยากชนะแหละ เหมือนได้เป็น portfolio หรือมีเครดิตให้กับตัวเองก่อนเข้ามหาลัย ซึ่งมันก็ดีที่ทำแบบนั้น แต่ Dimple นี่เหมือนเป็นพลังติ่งไอดอลซะมากกว่า ดูมันรุนแรงเกินกว่าความอยากสร้าง port สำหรับการเรียนไปมาก มากจนดูงี่เง่าและเหมือนคนบ้า

แต่จุดที่เราชอบกลับเป็นความแตกต่างที่ลงตัวของทั้งสองคนนี้ นิสัยบางอย่างของ Dimple กลับช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ Rishi ขาดได้ ในขณะที่เขาเองก็มีสิ่งที่ Dimple ไม่มี และคนอ่านแบบเราเห็นด้วยว่าควรจะต้องมี หรือความแตกต่างกันระหว่างพี่ชายน้องชายตระกูล Patel คนนึงจะเรียนด้าน engineer (ก็อิตา Rishi เนี่ยละ) อีกคนออกแนวนักกีฬา ทั้งสองคนเหมือนเกิดมาจากคนละครอบครัว Rishi ดูเก็บกด เป็นตัวของตัวเองมากไม่ได้ในแง่ความฝันความชอบ เหมือนต้องแบกภาระความเป็นลูกคนโตของครอบครัวนักธุรกิจไอทีเอาไว้จนยอมทิ้งความฝันตัวเอง เอาจริงๆอ่านไปลำไยไปในความคิดของตานี่ แบบถ้ามีผู้ชายคนไหนที่คิดงี้มาจีบเรานะ ต่อให้หน้าแกะแบบจาก Brad Pitt สมัยเล่น Meet Joe Black มาก็เหอะ ชั้นเขี่ยตกกระป๋องเลย คือไม่ชอบเอามากๆเลยคนที่ยอมอ่อนให้ที่บ้านแล้วเลือกจะทิ้งความฝันตัวเอง ดูเป็นคนไม่มีค่า ไม่รู้จะสู้กับใครหรือกับอะไรเพื่อเราได้มั้ย รำคาญความเป็นแบบนี้ของ Rishi มากพอกับที่รำคาญความบ้าเอาชนะรางวัลทำแอพฯ ของยัย Dimple เลย แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเออ ไอ้สองอย่างนี้มันขั้วตรงข้ามกันเลยนี่หว่า Dimple ไม่ได้ต้องการเป็นสาวสวย แต่งหน้าไปหาผัวแบบที่แม่อยากให้เป็น นางดื้อรั้นที่จะเป็นในแบบที่ชอบ หัวฟู ใส่แว่น หน้าไม่แต่ง ชั้นจะนั่งเขียนโค้ดสร้างแอพ แต่นางก็มุ่งมั่นมากเกินจนเอาความอยากเอาชนะ อยากสำเร็จของตัวเองไปไล่กดดันเอากับชาวบ้านโดยไม่จำเป็น บางทีมันทำให้ดูไม่น่าคบเลยอะ ส่วนอิตา Rishi ที่ต้องแอบซ่อนพรสวรรค์ในการเขียนการ์ตูนไว้ เขากลับดูเข้าใจโลกมากกว่าในอีกมุมนึง ดูเป็นคนรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รู้จักปลงได้ง่ายกว่าเมื่ออะไรๆไม่เป็นไปตามใจคิด ไม่เอาแต่โวยวายหัวเสีย

เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนมาก พล็อตเดาออกค่อนข้างจะง่าย แต่ก็สนุกไปกับการลุ้นว่าสองคนนี้จะชนะรางวัลมั้ย มีทั้งรางวัลประกวดการแสดงที่ได้เงินไปพัฒนาแอพฯ กับรางวัลในการสร้างแอพฯจริงๆที่จะต้องแข่งกัน มีความลำไยในความสับสนทางความคิดของ Dimple เข้ามาแทรกเป็นระยะๆ ด้วยความบ้าบออยากเป็นที่หนึ่ง อยากประสบความสำเร็จให้ได้แบบไอดอลของนาง เรื่องอะไรที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเรื่องเพื่อนเรื่องความรัก นางต้องสลัดออกให้หมด ทำยังกับว่าได้ผัวแล้วสมองจะทื่อมะลื่อคิดงานไม่ออกไปตลอดชีวิตงั้นแหละ รำคาญในความประสาทเสียแบบนี้ของนางเป็นระยะๆตลอดเรื่อง รวมๆก็ถือว่าอ่านได้เพลินๆดี ไม่มีอะไรให้ติดในแง่พล็อตหรือการเขียน เหมือนกับว่ารำคาญนิสัยนางเอกมากกว่านั่นแหละ อีกจุดที่ดูจะแปลกๆคือมีการพูดอฮินดีในเรื่องโดยที่ไม่แปล ดีนะที่เราเป็นติ่งอินเดียเลยอ่านเข้าใจ ได้เรียนภาษาฮินดีมาบ้าง นี่ก็งงๆเหมือนกันว่าอิพวก booktuber จะอ่านแล้วอินเหรอ มีภาษาที่ตัวเองไม่รู้ตั้งหลายรอบ ใครที่ไม่มีพื้นภาษาฮินดีมาอ่านก็อาจจะเอ๋อได้นิดๆในบ้างช่วง แต่ไม่มีผลกระทบกับเส้นเรื่องแน่นอน

อ่านอะไรต่อดี >> 2 States by Chetan Bhagat

post signature

Saturday 19 August 2017

The Hate U Give


The Hate U Give

นี่เป็นหนังสือที่เราได้ยินจาก book haul แค่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เรารีบเก็บเข้า wish list ใน Amazon ทันที The Hate U Give ผลงานจาก Angie Thomas ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตในสังคมคนดำของเด็กสาวผิวดำที่ชื่อ Starr Carter ชีวิตของเธอเติบโตมาในย่านชุมชนคนดำ แต่พ่อแม่พยายามผลักดันให้เธอเข้าเรียนโรงเรียนที่เธอจะได้มีสังคมดๆีอย่างโรงเรียนของคนขาวที่อยู่นอกเขตชุมชนตัวเอง Starr เลยเกิดความรู้สึกไม่ fit in กับทั้งสองสังคมอยู่บ่อยครั้ง ในยามที่ต้องอยู่กับเพื่อนๆที่โรงเรียน เธอต้องระวังตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางอะไรที่มัน too black ในหมู่เพื่อน หรือเวลาอยู่กับเพื่อนๆในหมู่บ้านคนดำ พวกเพื่อนเหล่านั้นก็มีความรู้สึกเหมือนเธอโดน white wash ไปแล้วซะอย่างงั้นเพียงเพราะเธอเข้าโรงเรียนของคนขาว

เนื้อเรื่องโดยส่วนใหญ่เริ่มตึงเครียดขึ้นเมื่อเพื่อนชายในวัยเด็กของเธอที่ชื่อ Khalil โดนตำรวจผิวขาววิสามัญฆาตกรรมต่อหน้าเธอข้างๆรถของเขา เธอเลยกลายเป็นพยานปากเอกในคดีครั้งนี้ ประเด็นซีเรียสหลักๆของเนื้อหาทั้งหมดคือการที่ตำรวจผิวขาวในอเมริกามีการวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยที่เป็นกลุ่มคนผิวดำบ่อยขึ้นมากกว่ายุคก่อนๆ ทำให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะคนดำเอง รวมทั้ง people of colors จากประเทศต่างๆเกิดความไม่พอใจและตั้งคำถามถึงปัญหานี้ ซีนกระชากอารมณ์ก็มีอยู่หลายจุด แต่จุดที่ทำให้เรา break down จริงๆคือตอนที่ Starr ไปงานศพของ Khalil นี่ละ Angie เขียนอธิบายฉากนี้ได้โคตรสะเทือนใจเลย เด็กหญิงอายุ 16 ต้องมางานศพเพื่อนตัวเองที่วัยเท่าๆกัน แถมเธอยังเห็นการตายของเขาต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องนี้มันยากเกินใจจะอดทนจริงๆ วันนั้นเราพก Kindle เราไปนั่งอ่านไปกินไปที่ร้านไก่ผู้พัน พอถึงฉากนี้เราน้ำตาไหลอาบแก้มเลย มันกลั้นไว้ไม่ไหวจริง ทั้งสงสาร Starr ทั้งเจ็บแค้นในชะตากรรมที่ Khalil ต้องประสบ

พ่อแม่ของ Starr ซัพพอร์ทเธอดีมากๆทั้งในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และความรู้สึกของเธอหลังจากเหตุการณ์บ้าๆนั้นเกิดขึ้น ต้องคอยพาเธอตระเวนไปพบให้ปากคำ ไปพบทนายเพื่อซักซ้อมในการไต่สวน มีไปออกรายการทีวีด้วย และในที่สุดก็ต้องไปขึ้นศาล เนื้อเรื่องจะวนๆกับความเครียดของ Starr ในจุดนี้มากพอสมควร มันเป็นการยากที่ Srarr จะต้องเปิดเผยตัวว่าเธอนี่ละคือพยานเด็กสาวในคดีตำรวจผิวขาวยิงเด็กหนุ่มผิวดำหน้ารถวันนั้น เพราะเพื่อนๆที่โรงเรียนก็จะรู้ นอกจากนี้ยังมีมาเฟียใหญ่ของแก๊งค์ค้ายาที่กลัวความลับถูกเปิดโปงเข้ามาร่วมด้วย ถ้าเธอเลือกจะพูดความจริงไปทั้งหมด ชีวิตของคนในครอบครัวเธอก็จะอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ Starr เครียดจนอ้วกไปหลายรอบมากเท่าที่จำได้ เพราะเธอต้องเลือกระหว่างเรื่องของตัวเองกับการทวงความยุติธรรมให้เพื่อน ความเครียดทุกอย่างนี้ถูกตัดสลับกับความไม่ค่อยจะลงรอยกันของเธอกับเพื่อนสาวอีกคนนึงในกลุ่ม รวมทั้งปัญหาเบาๆกับพ่อเรื่องที่เธอมีแฟนหนุ่มเป็นคนผิวขาว เราว่ามันดีที่มีเนื้อเรื่องมาเสริมให้เราไม่ต้องโฟกัสไปกับเรื่องเครียดๆของคดีจนเกินไป ทำให้เราได้เห็น Starr ในอีกมุมว่าเธอเป็นยังไงเวลาที่อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับแฟน

อีกจุดที่เราคิดว่าหนักเอาการคือเรื่องราวชีวิตของคนดำ มันเหมือนต้องสาป มันเหมือนวงจรอุบาทว์อะไรสักอย่างที่มักโดนคนมองแต่ภายนอกแล้วตัดสินว่าไม่ดี ในขณะที่ก็มีคนดำบางกลุ่มทำตัวไม่ดี เป็นแก๊งค์ค้าขาย เป็นอันธพาลจริงๆ เรื่องนี้ถือได้ว่าตีแผ่ให้เห็นสภาพชีวิตและวัฒธรรมของคนดำในยุคใหม่ได้ดีเลย แต่นั่นก็นำมาซึ่งคำศัพท์หลายๆอย่างที่คนไทยอาจจะไม่เข้าใจ เป็นแสลงที่ใช้กันเฉพาะในกลุ่มคนดำ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดทั่วไปอย่าง A'ight ที่แปลว่า All right หรือคำที่ใช้เรียกสิ่งของอย่างรองเท้า Nike รุ่น Air Jordan เขาก็จะมีวิธีเรียนในแบบของเขาที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่ sneakerhead อาจจะไม่เข้าใจ รวมไปทั้งเรื่องทางวัฒนธรรมอย่าง Black Jesus ที่เราอาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่ยังไม่นับศัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องแก๊งค์ค้ายานะ ทั้งตำแหน่งคน ทั้งอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก อ่านเล่มนี้ต้องเปิด urban dictionary ไปด้วยรัวๆเลย dict built-in ใน Kindle เอาไม่อยู่ แต่เชื่อมั้ยว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งอยากเห็นเล่มนี้เอามาแปลเป็นไทย อยากจะรู้ว่าเขาจะแปลออกมายังไง เลือกใช้คำแบบไหน เราว่ามันแปลยากเอาการเลย คนแปลต้องทำการบ้านเกี่ยวกับชีวิตคนดำในรูปแบบชาวแก๊งค์มากพอสมควรเลยถึงจะแปลได้อย่างเข้าถึง

เรื่องนี้เป็น it's a must เลย เราแนะนำทุกคนให้อ่านจริงๆนะ เราอ่านจบแล้วชอบมากๆ ถ้าเราจะต้องให้ของขวัญใครเป็นหนังสือ ไม่ว่าเขาจะเพศใดวัยไหน เราเลือกเล่มนี้แน่นอน อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน ถึงแม้ว่ามันจะเครียด กดดัน มีน้ำตา แต่มันเต็มไปด้วยความดีงามของพลังการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม มันอาจจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนตัวเล็กๆอย่างพวกเราได้หันมา stand up and speak out บ้างก็ได้ เราเชื่อว่าสังคมไทยยังคงต้องการคนแบบ Starr จริงๆนั่นแหละ

อ่านอะไรต่อดี >> Wing Jones by Katherine Webber, Dear Martin by Nic Stone


post signature

Wednesday 2 August 2017

July 2017 | eBook Haul

ผิดคาดมากฮะคุณผู้ชม เดือนนี้ทั้งเดือนไม่ได้ควักเงินซื้ออะไรเลย อาจจะเพราะป่วยบ่อยด้วย โรคเก่าหายโรคใหม่แทรกอยู่เนืองๆ ไม่ได้แตะหนังสือใดๆทั้งสิ้นเลย นอนซมหลายวัน แต่ก็ยังแอบมีกะใจเช็ค wish list ตัวเองแล้วพบว่ามีเล่มนึงจากที่ราคาไม่ได้แพงมากเขาแจกฟรีอยู่ ก็รีบโหลดสิฮะ

Lives Collide

Lives Collide - Kristina Beck
เล่มนี้เก็บเข้า wish list ไว้สักพักใหญ่ๆได้แล้ว ไม่ใช่หนังสือที่ดังมากอะไร ราคาตั้งต้นก็ไม่ได้แพงมากมาย จำได้ว่าเห็นเองตอนเข้าๆออกๆ Amazon นั่นแหละ อ่านเรื่องย่อแล้วชอบเลยเก็บไว้ เกี่ยวกับชีวิตเฉียดความตายของวัยรุ่นสาวคนนึง เธอจำดวงตาสีเขียวมรกตของคนที่ช่วยเธอให้รอดไว้ได้ แล้วก็ทิ้งไว้เพียงแจ็คเก็ทหนังอีกตัวเท่านั้น วันเวลาผ่านไปเธอรู้ดีว่าจะไม่มีใครรักเธอได้ถ้ารู้ถึงความลับของเธอ ฟังดูมีอะไรปิดบังอำพรางดีอะ ความลับที่ว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่รอดชีวิตมาด้วยแน่ๆ และเจ้าของตาสีเขียวมรกตกับแจ็คเก็ทหนังนั้นคือใคร น่าลุ้นมากเลย เมื่อสักพักใหญ่ๆเข้าเวบเล่นๆ เจอว่ามันลดจนเหลือศูนย์ดอล เฮ่ย อะไรยังไง กดไว้ก่อนเลยพวก อย่าได้รอช้า อ่อ ปกมันเป็นน้ำเขียวๆฟ้าๆดีอะ ชอบจัง

สรุปทั้งเดือนได้ของฟรีมาแค่เล่มเดียว และค่อนข้างจะมั่นใจด้วยว่าในเดือนสิงหานี้เราก็ไม่น่าจะได้ควักซื้ออะไรเท่าไหร่ ของเคลียร์ของเก่าให้พร่องลงจาก TBR list ก่อนแล้วกัน

post signature

Saturday 8 July 2017

June 2017 | eBook+Book Haul


เริ่มต้นเดือนจูนด้วยการเสียทรัพย์กันเลยฮะ เชื่อมมั้ยว่าเพียงแค่วันแรกของเดือนเราก็จัดไปแล้ว 5 เล่มรัวๆจาก Amazon แล้วมาต่อกันอีกช่วงท้ายเดือน 6 เล่มรัวไปอีก ไหนจะยังมีอิพวกโหลดฟรีอีกนะ และหนนี้แอบมีหนังสือเล่มภาษาไทยปนมาด้วยเล่มนึงแหละ จะเป็นยังไงไปดูกันจ้า


Lorali - Laura Dockrill
ถือเป็นหนังสือแนวแฟนตาซีเล่มแรกที่เสียเงินซื้อจริงๆจังๆ ปกติเป็นคนที่ไม่เอาเลยอะไรที่เป็นแฟนตาซี มีความเหนือจริงสูง เรียกว่าปิดใจมากๆเลย แต่กับเรื่องนี้เรายอมแพ้ เพราะเราชอบนางเงือก เป็นความแฟตาซีอย่างเดียวที่เราแพ้ทางจริงๆ แถมหน้าปกก็สวยดีด้วย เรื่องนี้จะอยู่ใน sequels (ณ ตอนนี้มีกัน 2 เล่ม แต่อนาคตไม่ชัวร์ - จริงๆจะบอกว่าไม่รู้ก็ดูโชว์โง่เกิน) อีกเล่มที่จะออกตามมาคือ Aurabel เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายอายุ 16 ในอังกฤษชื่อ Rory ที่ไปเจอนางเงือกริมหาดพอดี นางเงือกตัวนี้ชื่อ Lorali เป็นเจ้าหญิงด้วย แต่กำลังจะมาเป็นมนุษย์ ฟังดูแล้วต้องน่ารักและดราม่ากันมากแน่ๆ ที่สำคัญคือมันแค่ $1.05 เองอะ ไม่ซื้อยังไงไหวแว้


What We Left Behind - Robin Talley
เป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับ LGBT อีกเรื่องที่ตัดสินใจซื้อ เห็นใน book hual ของ booktuber 2-3 คนแว้บๆเมื่อไม่ถึงเดือนก่อน รู้สึกเนื้อเรื่องน่าสนใจดีเพราะมีตัวเอกที่ระบุว่าตัวเองเป็น genderqueer ด้วย เจ๋งดี เรายังไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่มีตัวเอกเป็น genderqueer แบบนี้มาก่อน เนื้อเรื่องคร่าวๆเกี่ยวกับคู่รักวัยรุ่นคู่นึงที่รักกันดี แต่อยู่ไปอยู่มา Toni เกิดไปเข้ากลุ่มกับทรานส์ในมหาลัย เลยรู้สึกเหมือนได้ค้นพบโลกใหม่ ในขณะที่ Gretchen ก็สับสน ไม่รู้ว่าตัวเองมีที่ทางอยู่ตรงไหนกันแน่ในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง เดาไม่ออกเลยว่าจะจบยังไง แต่น่าติดตามมาก ราคาก็ดี $1.61 เท่านั้น


On the Island - Tracey Gravis-Graves
เรื่องนี้เราอยากได้มานานมากๆแล้ว เคยเจอคนมา haul ในพันทิปแต่เป็นฉบับแปลไทย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับครูสาวที่ไปติดเกาะกับเด็กหนุ่ม 16 ที่ตัวเองสอนพิเศษอยู่ เลยเกิดเป็นความรักต่างวัยขึ้นท่ามกลางความไม่เข้าใจของผู้คนรอบข้าง เราละช๊อบชอบเรื่องความรักต้องห้ามแบบนี้ จริงๆเก็บเข้า wish list มานานมากแล้ว แต่ยังไม่ยอมซื้อเพราะราคาแรง $9 กว่าๆแน่ะ จนเมื่อ 2-3 วันก่อนเห็นมันลดกระฉูดเลย $1.99 ก็เลยรีบโหลดไว้ก่อน เดี๋ยวราคาขึ้นอีก


Losing It - Cora Carmack
สุดยอดนิยายที่นางเอกเปรี้ยวเยี่ยวราดมาก Bliss นางยังเป็นสาวจิ้นคนเดียวในกลุ่ม นางเลยวางแผนว่าจะต้องเสียให้ได้ไวที่สุด นางเลยเลือก one night stand แม่เจ้า นี่แหละคือพล็อตที่หาไม่ได้จากนิยายไทย และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราชอบอ่านนิยายฝรั่งมากกว่า ฮ่าๆๆ ความแซบยังไม่จบตรงนั้น นางก็ทำตามแผนได้แหละ แต่อยู่ๆนางเกิดสติแตกอะไรไม่รู้ ทิ้งพ่อหนุ่มหล่อที่หิ้วมาได้ไว้ในห้อง แล้วก็หนีหน้าไปดื้อๆเพื่อเข้าเรียนคาบแรกของเทอมใหม่ และในห้องเรียนนั้นเองนางพบว่าหนุ่มคนเมื่อคืนคืออาจารย์ที่สอน theatre ในเทอมใหม่นี้เอง โอ๊ยยยย แซบแสบไส้มาก เล่มนี้อยู่ในซีรีส์เดียวกับ Faking It เลย แล้วก็เป็นความเป๋อของเราเองที่ไปโหลดเล่มนั้นมาก่อน จริงๆเล่มที่อยากอ่านที่สุดในซีรีส์คือเล่มนี้แหละ สนนราคา $2.99 


Girl in Pieces - Kathleen Glasgow
เล่มนี้จำไม่ผิดน่าจะเห็นมาจาก book haul ของ booktuber สักคนแหละ ใน Amazon จั่วหัวเกี่ยวกับหนัง Girl Interrupted ไว้ด้วย เราเลยคิดว่าฟีลน่าจะไม่หนีกันมากเท่าไหร่ เป็นเรื่องราวของเด็กสาวที่สูญเสียคนในชีวิตไปเยอะมาก (น่าจะหมายถึงตาย) มีบาดแผลอะไรเยอะแยะ จำโมเมนท์ตอนที่กดเข้า wish list ไม่ได้แล้วว่ามีอะไรสะดุดใจตรงไหน แต่ปกติจะกดก็ต่อเมื่อมีฟีลว่าเล่มนี้เนื้อหาแซบ โดนใจ ใช่เลย อยากอ่าน อยากรู้เรื่องต่อ ราคาก็โอ $1.99 ไม่แพงอะไร


ซาราห์ ... หญิงผู้แหวกประเพณี - ซาราห์ อาซิซ
เล่มนี้เจอจากการที่เห็นเพื่อนไปกดไลค์โพสต์ของสำนักพิมพ์สันสกฤต พอดีเขาเอาหนังสือเหลือๆของสำนักพิมพ์พลอยแกมเพชรมาขายต่ออีกที เราเห็นเนื้อหาแล้วโดนใจมาก เป็นเรื่องของเด็กสาวที่อพยพจากจอร์แดนพร้อมครอบครัวมาอยู่เยอรมันตั้งแต่เล็ก จนเธอโตมามีความคิดและจิตใจเยี่ยงสาวยุโรปทั่วไป แต่พ่อแม่ของเธอที่ยังยึดติดกับประเพณีแบบอาหรับและศาสนากลับไม่ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เธอโดนจับแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง เรื่องทั้งหมดหนักขึ้นถึงขนาดเธอต้องหนีจากพ่อแม่ที่กำลังตามล่า ซื้อมาราคา 238 บาท ตัดสินใจปุ๊บโอนปั๊บ เพราะมันไม่มีแบบ eBook ขาย และจริงๆไม่มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษขายด้วยซ้ำ มีแต่เยอรมันที่อ่านไม่ออก


Blister - Jeff Strand
เล่มนี้เพิ่งรู้จักไม่นานมากจากเพจนึงของคนไทยเรานี่ละ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับนักเขียนการ์ตูนคนนึงที่ไปพักร้อนในกระท่อมริมทะเลสาบ มีวันนึงฮีเมาๆกับคนแถวนั้นแหละ แล้วพวกนั้นก็ชวนเขาไปหา Blister ซึ่ง Blister เนี่ยคือผู้หญิงคนนึงที่หน้าเละปุปะ ไม่รู้ไปโดนอะไรมา เหมือนเป็นสิ่งที่คนในท้องถิ่นต้องไปแอบดูเพื่อสนองต่อมความหลอนอะไรประมาณนั้น อิตานักเขียนคนนี้รู้สึกผิดตอนสร่างเมา ก็เลยจะไปขอโทษ Blister หลังจากนั้นน่าจะเกี่ยวกับการเปิดปมว่าทำไมถึงหน้าเละแบบนั้นได้ เล่มนี้ $2.99 คงไม่ลดลงไปกว่านี้แล้วละ ก็ตัดสินใจถอยมาเลยละกัน


Our Chemical Hearts - Krystal Sutherland
เอาจริงๆจำไม่ได้ละว่าทำไมกดเล่มนี้เข้า wish list แต่พอมาอ่านเรื่องย่ออีกที เออ มันใช่แนวเราว่ะ เกี่ยวกับผู้ชายคนนึงที่ไม่เคยมีความรัก แต่เขาก็มโนถึงความรักในแบบที่ตัวเองต้องการเอาไว้แหละ จนวันนึงมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิต เป็นผู้หญิงที่ต้องเดินด้วยไม้เท้า ใส่เสื้อผ้าเด็กผู้ชายแบบตัวใหญ่ๆด้วย แถมดูเหมือนไม่ค่อยได้อาบน้ำอีก โอ๊ยยย เวรกรรม คนที่น่าจะไม่เคยมีความรักและดูเหมือนไม่มีใครเอาน่าจะเป็นฝั่งยัยนี่มากกว่า แต่อิตานั่นก็ตกหลุมรักยัยนี่เฉยเลยเว้ย นี่ละที่ทำให้อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปไงมาไง จนเมื่อคืนเช็คราคา เหลือแค่ $1.05 เองอะ เรื่องอะไรจะปล่อยไว้เฉยๆ โหลดสิคร้าบ หน้าปกสวยด้วย แต่พอกดเข้าไปดูราคาอีกที เฮ้ย มันขึ้นเป็น $10.05 แล้วอะ งงมาก ทำไมขึ้นไวจัง 


When Dimple Met Rishi - Sandyha Menon
อิเรื่องนี้บูมมากในหมู่ booktuber เมื่อประมาณเดือนนึงที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนที่หนังสือจะออกก็ว่าได้ เราฟังละก็อยากได้ตามเลย เป็นผลงานของนักเขียนอินเดียที่เขียนสไตล์ rom-com เกี่ยวกับวัยรุ่นอเมริกันอินเดียน 2 คน ที่พ่อแม่วางแผน arranged marriage ตัว Dimple นางเอกเรียนจบละ นางเลยเตรียมแหกคอกเต็มที่เลย นางจะหา ideal husband ของตัวเองซึ่งแน่นอนว่ายังไม่ใช่ในเร็ววันนี้ ไม่ยอมให้ทางบ้านเลือกให้ และนางก็มีแผนจะไป summer camp เกี่ยวกับการเขียน app ด้วย ส่วนอิตา Rishi นี่ออกแนวโรแมนติค พอพ่อแม่บอกว่าสาวที่เลือกให้กำลังจะไป camp ฮีเลยจะตามไป เออ ท่าทางสนุกอะ ถึงจะดูเดาออกแต่ก็ยังน่าอยากรู้อยู่ดี เล่มนี้ก็ลดนะ $1.05 เหมือนกัน รอมาพักนึงกว่าจะลด แล้วที่บ้าบอมากคือหลังจากโหลดพักนึงเข้าไปเช็คราคา มันพุ่งกลับไป $10.99 ละอะ คือไรเนี้ย ดีนะที่โหลดทัน 


Knit One, Girl Two - Shira Glassman
ถ้าจำไม่ผิดเราน่าจะเจอเรื่องนี้มาจาก booktuber แหละ เอาคร่าวๆคือเกี่ยวกับเลสเบี้ยนชาวยิว 2 คน ฮ่าๆๆ คนนึงน่าจะทำงานฝีมือขาย เห็นมีคำว่า yarn และ knit ในชื่อเรื่องอะเนาะ ส่วนอีกคนก็เป็นจิตรกรวาดภาพ wildlife เท่าที่อ่านเรื่องย่อมาคิดว่าดูนวลๆน่าสนใจดี ก็เลยโหลดมาที่ $1.99 


House Arrest - K.A. Holt
เล่มนี้โหลดมาเพราะจริงๆเงินเหลือ ฮ่าๆ ปกติจะซื้อ gift card แล้วเติมเอาทีละ $10 เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย ทีนี้เงินเหลือไง เลยพยายามหาเล่มมาเติมให้ครบ ส่วนมากเราจะหาเอาจากลิงก์ที่เห็นในเล่มที่เพิ่งกดซื้อไปอะแหละ เจออะไรน่าสนใจก็อ่านเรื่องย่อ ดูรีวิวใน Goodreads อ้างอิงเอา จนมาจบที่เล่มนี้ เกี่ยวกับเด็กชายคนนึงที่ขโมยของเพราะต้องการรักษาแม่ที่ป่วย แต่ดันถูกจับได้แล้วก็ส่งตัวไปสถานที่แนวๆบ้านเมตตา เนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรพิเศษนะ แต่คะแนนรีวิวดีมากๆ เลยลองซื้อมาอ่านดู $1.99 สำหรับเล่มนี้


Rule - Jay Crownover
อยู่ใน wish list มานานหลายปีดีดัก เพิ่งจะได้ฤกษ์โหลดมาก็วันนี้ ที่ราคาลงถึง $0.99 ก็เป็น new adult อีกเล่มที่อยากอ่านมานานมาก หนึ่งในซีรีส์ marked men อันโด่งดัง นางเอกเป็นนักเรียนเตรียมแพทย์ที่ไปตกหลุมรักหนุ่มลุคสักเจาะตั้งแต่แรกเห็น นางรู้ดีว่าเขาไม่เหมาะกับนางหรอก แต่หัวใจก็ไม่ยอมฟัง ฮ่าๆ ดูน้ำเน่าจังเนอะ เอาจริงๆเรายังเข็ดกับ new adult อยู่เลย แต่ด้วยความที่เราชอบรอยสักเลยลองโหลดมาสักเล่ม เห็นรีวิวดีสุดในซีรีส์ละ อ่านเล่มเดียวถ้าไม่ชอบก็หยุด ราคาแค่นี้ไม่น่าจะเสียดายมาก


Rosemary's Gravy - Melissa F. Miller 
ยอมรับตรงๆว่าชื่อดึงดูดมาก เราชอบ rosemary อยู่แล้วในอาหาร หน้าปกก็ดูมีกลิ่นไอแถบอิตาลีหรือสเปนตอนใต้อะไรอย่างงั้น แต่จริงๆมีความลึกลับซ่อนอยู่ เมื่อนางเอกตกอับเพราะพ่อแม่ทิ้งหนี้สินมหาศาลไว้แล้วชิ่งหนีไป จนเธอต้องกลายไปเป็นเชฟในโรงแรม เหมือนจะทำอาหารอร่อยอยู่แหละ แต่มีคนกินละเสือกตายขึ้นมา เป็นเรื่องเลย ตำรวจเลยยกขโยงมากันใหญ่ นางเลยต้องหาตัวคนร้ายเพื่อยืนยันว่านางไม่ได้วางยาในอาหาร เล่มนี้อยู่ใน A We Sisters Three Mystery ด้วยและเป็นเล่มแรก ฟรีแค่เล่มนี้เล่มเดียว


Normal - Danielle Pearl
เล่มนี้มาจากซีรีส์ Something More เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นหญิงผู้ร้าวรานแตกสลาย ต้องย้ายรัฐไปเรียนที่ใหม่โดยไม่รู้จักใครเลย ในขณะที่ฝ่ายชายผู้หล่อเหลาและเป็นนักกีฬากลับมีปมในอีกรูปแบบนึง เหมือนทั้งคู่ต่างมีปมที่ดึงดูดเข้าหากัน แต่มันก็อาจจะเป็นปมที่ทำลายทั้งคู่ได้ด้วย มันก้ำกึ่งในความเป็น YA และ new adult อยู่นะ ในขณะที่นำเสนอเรื่องของการ abuse เยอะพอสมควรเลย ส่วนตัวชอบอ่านอะไรที่เครียดและมี abuse เกิดขึ้นแบบนี้แหละ ฟรีๆแบบนี้จะพลาดได้ไง


Remember When Two - T. Torrest
โหลดมาเพราะชื่อล้วนๆเลย ฮ่าๆ ยังคงเป็นเล่มที่มาจากซีรีส์นะ มาจาก Remember Trilogy โทนเป็น rom-com ในยุค 90 เลย น่าสนใจมาก เรทติ้งที่ไปค้นใน Goodreads ก็ดี เห็นแค่นั้นก็วางใจ ไม่ได้อ่านรายละเอียดเรื่องย่อมาก แค่รู้ว่าเป็น rom-com และเรื่องเกิดในยุค 90 แค่นั้นแหละ เชื่อใจเรทมากเลย หวังว่าจะไม่เงิบนะ เม้าท์นิดนึง เล่มนี้มีปกสองแบบ ซึ่งแบบที่โหลดมานี่เห่ยมาก ไปดูใน Goodreads ที่เขาลงไว้สวยจัง อยากได้แบบนั้นมากกว่า


Happily Ever After - Jenn Faulk
เล่มนี้เป็นวรรณกรรมคริสเตียน เกี่ยวกับวัยรุ่นหญิงชายสองคน (น่าจะคนเมกันแหละ) ที่ไปพันธกิจในต่างประเทศ เรียกง่ายๆก็เป็นมิชชันนารีนี่แหละ แล้วก็ได้เจอกัน ได้ช่วยเหลือกัน พร้อมทั้งต้องค้นหาว่าชีวิตตัวเองจะมีเส้นทางยังไงต่อไปผ่านการทรงนำของพระเจ้า อันนี้ชอบหน้าปก posture ของแบบดูเชยดี แต่เขาย้อมสีเป็นโทนเหลืองซะสวย ที่โหลดมาเพราะเราเป็นคริสเตียนด้วยแหละ และได้เรทจาก Goodreads ดีเลย สี่ดาวกว่าๆ ค่อนข้างเชื่อมั่นในผู้อ่าน อย่าทำให้ผิดหวังนะฮะ


Collision - Kate Sterritt
ยังคงเป็นอีกเล่มที่มาจากซีรีส์นะ เป็นนิยายรักทั่วไปนี่แหละ ฝั่งนางเอกอยู่กับแม่จอมบงการจนไม่มีชีวิตของตัวเองเลย ส่วนพระเอกนี่ตรงข้าม ใช้ชีวิตอิสระ เป็นบาร์เทนเดอร์และนักมวยในสังเวียนเถื่อน ต่างคนต่างก็มีปมบางอย่างที่อยากจะหลุดจากกรอบชีวิตเดิมๆที่เป็นอยู่ ที่เหลือก็น่าจะเป็นแบบว่าทั้งสองคนจะต้องช่วยกันเยียวยาและ uplift ชีวิตตัวเองอะไรแนวๆนั้นละมั้ง เอาจริงๆก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรอก แต่มันฟรีอะ และด้วยเรทสี่ดาวนิดๆ ก็โหลดๆมาไว้ก่อน อ่านไม่อ่านไว้ว่ากันทีหลัง


2084 - Mason Engel
อธิบายง่ายๆเลยว่าอันนี้คือ retelling ของ 1984 อันลือลั่นของ George Orwell ซึ่งอิต้นฉบับนี่เรายังไม่ได้อ่านนะ เพราะเท่าที่รู้เนื้อเรื่องคร่าวๆมันซับซ้อนเกินสมองคนอย่างเรามากเลย ฮ่าๆๆ แต่ด้วยความที่อันนี้มันฟรีงะ เลยโหลดๆไว้ประดับบารมีไปงั้นแหละ เอาไว้คุยว่าเหยยย ชั้นมี 2084 ที่เป็น retelling ของ 1984 เชียวนะโว้ย แลดูเป็นนักอ่านชิคๆคูลๆดีไม่หยอก ฮ่าๆๆ คนที่อ่านงาน George Orwell ว่าเก๋แล้ว อินี่โชว์เหนือโดยการอ่าน retelling เลยฮะ


Once Gone - Blake Pierce
จัดของฟรีมาอีกแล้ว สำหรับเล่มนี้ที่มาจาก Riley Paige Mystery เกี่ยวกับตำรวจหญิงที่ต้องทำคดีของฆาตกรต่อเนื่อง ตอนแรกเธอลาพักเหนื่อยหลังจากเพิ่งสะสางคดีก่อนหน้าเสร็จไป แต่คดีนี้มันร้ายแรงมาเธอจึงต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง และก็เป็นคดีที่ทำให้เธอค้นพบด้านมืดของตัวเองด้วย เส้นบางๆของผู้ล่าและผู้ถูกล่าจะเป็นยังไง แค่ฟังเท่านี้ก็ตื่นเต้นละ เสียงตอบรับมีปะปน มีทั้ง 5 ดาวเต็มยันบางคนที่บอกจะให้แค่ครึ่งดาวแต่ทำไม่ได้ เสียงค่อนข้างแตกอยู่ ไหนๆก็ฟรีอะนะ โหลดมาเก็บไว้ไม่เสียหาย

จบกันไปทั้งหมดที่กี่เล่มไม่ได้นับ ฮ่าๆ ไม่อยากนับให้แสลงใจว่ากองดองมันพอกพูนขึ้นกี่มากน้อยแล้ว ตอนนี้เริ่มอ่าน When Dimple Met Rishi ไปครึ่งเรื่องได้แล้ว ยังไงช่วงหยุดนี้จะพยายามเร่งให้จบให้จงได้ กองดองจะได้เพลาๆตัวเองลงหน่อย เพราะนี่ก็เข้าเดือนใหม่แล้ว จะต้องซื้อล็อตใหม่ประจำเดือนนี้อีกกี่เล่มก็ไม่รู้


Friday 9 June 2017

May 2017 | eBook & book haul

สำหรับเดือนพฤษภาที่ผ่านมานี้ก็เริ่มซื้อมันซะตั้งแต่ต้นเดือนเลย ด้วยความค้างคาใจที่ติดพันมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว มาดูกันดีกว่าว่าตั้งแต่ต้นเดือนยันท้ายเดือนจะซัดไปขนาดไหน

Let's Get Lost - Aldi Alsaid

1. Let's Get Lost - Aldi Alsaid
ไปเอเชียบุ๊คมาก็สะดุดตาเข้ากับหน้าปกของเล่มนี้ หน้าปกดูไปแล้วคล้ายๆกับ Paper Town อยู่เหมือนกัน แถมชื่อคนแต่งก็ดูน่าสนใจ ลองอ่านออกเสียงดูคล้ายชื่อคนจากตะวันออกกลาง กลับมาบ้านเลยลองมากดหาดูใน Kindle store พอเห็นว่าราคาถูกก็ตาโตก่อนเลย จากนั้นถึงเห็นว่าเขามีคำโปรยว่าเหมาะกับคนที่อ่านอี Paper Town จของตา John Green นี่แหละ ซึ่งนี่ก็ไม่ได้อ่านนะ แต่เอาเถอะราคามันถูก ก็เลยกดมาอย่างง่ายดาย ที่ราคา $1.56 เท่านั้นเอง

The Hate U Give - Angie Thomas

2. The Hate U Give - Angie Thomas
เล่มนี้เพิ่งรู้จักเมื่อไม่ถึงสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง booktuber พูดถึงกันมากมาย เป็นผลงานของนักเขียนผิวดำ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กหญิงผิวดำคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรม แต่กลับไปเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดี อยู่มาวันหนึ่งเธอเห็นเพื่อนสนิทของเธอถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม เหมือนว่าเพื่อนคนนี้จะมีอาวุธด้วย รวมๆแล้วคือเธอเห็นสิ่งที่บอกใครไม่ได้ นัยว่าบอกแล้วจะนำอันตรายมาสู่ตนเอง เราเป็นคนที่ชอบเนื้อหาที่มีปมเครียดๆแบบนี้แหละ และชอบงานของนักเขียนที่ไม่ใช่ฝรั่งผิวขาวด้วย ก็เลยควักซื้อมาอย่างง่ายๆ เล่มนี้ $4.99 

Love Letters To The Dead - Ava Dellaira

3. Love Letters To The Dead - Ava Dellaira
สำหรับเล่มนี้รู้จักมานาน 3 ปีได้แล้ว ก็จาก booktuber นี่แหละ รายไหนรายนั้นต้องพูดถึง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขียนจดหมายหาคนดังที่ตายไปแล้ว มีพวกนักร้องดังๆ อย่าง Kurt Cobain อะไรทำนองนี้ละ เราว่าพล็อตเรื่องน่าสนใจดี อยากได้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละแต่เพิ่งมีโอกาสได้ซื้อ เล่มนี้ $4.18

The Decameron - Giovanni Boccacio

4. The Decameron - Giovanni Boccacio
ส่วนเล่มนี้รู้จักมาจากสมัยดูละครสะใภ้เจ้า อิตาคุณชายรองฮีห้ามสาลินอ่านเพราะมันออกจะโป๊เกินไป เรานั่งดูอยู่นี่หูผึ่งเลย ชื่อไทยว่าบันเทิงทศวารเหรอ รีบจัดแจงเข้าเนทมาหาข้อมูลต่อ ก็พบง่สฉบับแปลไทยมันเป็นหนังสือระดับสะสมที่หายากและมีราคาแพงไปแล้ว แต่ในระดับสากลมันเป็น public domain ดังนั้นเมื่อเราใช้ Kindle ก็สามารถโหลดฉบับฟรีมาได้ ดังนั้นรีบโหลดไปอย่าให้เสีย


Twenty-Eight and a Half Wishes - Denise Grover Swank

5. Twenty-Eight and a Half Wishes - Denise Grover Swank
สำหรับเล่มนี้ บอกกงๆว่าเห็นปกมันดูน่ารักดูมีกลิ่นไอโบฮีเมียนดี ที่สำคัญฟรีนี่สิ เลยลองกดไปอ่านคร่าวๆว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร พบว่าเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่เห็นอนาคตว่าตัวเองตาย แล้วก็เหมือนมีคนรู้ว่าเธอเห็นอนาคตอะไรงี้ได้ ก็เลยมาตามล่าตามหาเธอ แลดูน่าสนุกตื่นเต้นดีอยู่ ไหนๆก็ฟรีแล้ว โหลดสิฮะ


Pride and Prejudice - Jane Austen

6. Pride and Prejudice - Jane Austen
อย่างที่รู้กันว่าพวกงานคลาสสิคจะเป็น public domain กันซะส่วนมาก เล่มนี้ก็เช่นกัน แต่เอาจริงๆเราเองไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรเลย ฮ่าๆ รู้สึกสะเหล่อมาก คือเห็นมันดังและฟรีก็เลยจัดมาซะหน่อย ยอมรับว่าคงเก็บเข้ากรุดองไปอีกนานแน่ๆ 


The Pact - Karina Halle

7. The Pact - Karina Halle
เรื่องนี้โผล่ขึ้นมาเป็นลิงก์โฆษณา หน้าปกเห็นแล้วก็นะ ดูเป็นพวก new adult ดาดๆทั่วไป แต่รูปสไตล์ shutter B มันดึงดูดเรามาก เลยลองกดเข้าไปดูทีว่าจะมีอะไรน่าสนหรือเปล่า พอได้อ่านเนื้อหาแล้วโดนเลย มันเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทคู่นึงที่คุยกันว่าถ้าพวกเขาอายุถึง 30 แล้วยังหาแฟนไม่ได้จะมาแต่งงานกันเอง เฮ้ยย โหลดสิแว้รออะไร เราเองเคยมีเพื่อนที่สัญญากันแบบนี้เหมือนกันนะ อายุครบสามรอบเมื่อไหร่ถ้ายังหาใครไม่ได้จะจูงมือไปจดทะเบียนกันเพื่อเอาสิทธิ์ต่างๆดีกว่า ก็ต้องดูว่าอีสองคนในนิยายนี่จะเจอกับอะไรมั่ง


The Illegal Gardener - Sara Alexi

8. The Illegal Gardener - Sara Alexi
ด้วยความเห็นแก่ของฟรีบวกกับหน้าปกสวย ก็เลยต้องจัดมาตามนั้นนะฮะ เล่มนี้มาจากซีรีส์ The Greek Village และเห็นว่าเป็น international bestselling ด้วย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในกรีก จนไปเจอกับผู้ชายที่หนีเข้าเมืองมาแบบผิดกฏหมาย อิตานี้มาจากปากีสถาน ผู้หญิงคนที่ว่าเลยจะจ้างมาจัดการกับสวนที่รกเรื้อของบ้านที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ ท่าทางจะเป็นเรื่องรักแหละมั้ง ดูทรงแล้ว แต่บรรยากาศความกรีกนี่น่าสนใจมากเลย


Jane Eyre - Charlotte Brontë

9. Jane Eyre - Charlotte Brontë
งานคลาสสิคอีกแล้วครับท่าน ความจริงก็มีแบบเป็นเล่มแล้วนะ แต่ว่าตั้งแต่ซื้อ Kindle มาใช้รู้สึกว่าอ่านในนี้แล้วมีสมาธิกว่าอ่านหนังสือธรรมดามากๆเลย พอเห็นลิงก์ให้โหลดก็เลยจัดมาซะหน่อย สำหรับเนื้อเรื่องก็ แหะๆๆ อย่าว่ากันเลยที่ไม่รู้ เพราะเป็นคนอ่านงานคลาสสิคค่อนข้างน้อย ติดตามน้อยด้วย หวังว่าการที่อ่าน Kindle คงทำให้ได้อ่านงานดีๆมากขึ้น

Blood Orchids - Stuart Woods

10. Blood Orchids - Stuart Woods
งานซีรีส์มาอีกแล้ว สำหรับเล่มนี้มาจาก Holly Barker เป็นเล่มที่ 3 จากในชุด เนื้อเรื่องเกี่ยวกับฮาวายด้วย เป็นแนวสอบสวน มีกระสุน มี FBI ด้วย อะไรประมาณนี้ หวังว่าจะได้เห็นความเป็นฮาวายเยอะๆในเรื่องนะ เพราะเป็นอีกเมืองที่ชอบ หน้าปกก็สวยมากด้วย ณ วันที่โหลดมา

The Metamorphosis - Franz Kafka

11. The Metamorphosis - Franz Kafka
เล่มนี้เป็นเล่มนึงที่เราได้ยินกิติศัพท์มามากมาย ใครๆก็บอกว่าคนที่มีนิสัยแปลกๆเหมาะมากที่จะอ่านเล่มนี้ แน่นอนว่าคนแบบเราไม่พลาดที่จะลอง เห็นว่ามีฟรีอยู่ก็รีบจัดมาซะ ส่วนตัวอยากลองอ่านของ Kafka มานานแล้วแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มที่ไหนดี จนมาได้ยินกิติศัพท์ของเล่มนี้เลยคิดว่าน่าจะเป็นอันนี้แหละ โชคดีที่เจอตัวฟรีพอดี

Cycles - Lois D. Brown

12. Cycles - Lois D. Brown
เพิ่งโหลดมาตอนบ่ายสดๆร้อนๆเลย ตอนแรกเข้าไปเช็คดูเล่มนึงหลังจากที่ดู book haul แล้วสนใจ ก็เหลือมาเจอเล่มนี้พร้อมกับความฟรี แน่นอน เลยกดเข้าไปดู ตอนแรกเห็นเป็นแฟนตาซีก็แอบเบ้ปากในใจ แต่เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก เกี่ยวกับวัยรุ่นที่ไปพบการทดลองลับที่ห้องใต้ดินของเพื่อนบ้าน การทดลองนี้เป็นการทดลองทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการชะลอวัยของมนุษย์ ประมาณว่าจะพลิกผันความเป็นไปของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว มันไม่ได้ดูแฟนตาซีมากเวอร์จนเกินไป ประมาณนี้เราอ่านได้ อยู่ในซีรีส์ที่มีหลายเล่มทีเดียว 

The Scarlet Letter - Nathaniel Hawthrone

13. The Scarlet Letter - Nathaniel Hawthrone
บอกเลยว่าเป็นนิยายอีกเรื่องที่เราอยากอ่านมานานมาก เพราะรู้ว่ามันเป็นหนังสือนอกเวลาของเด็กไฮสคูลอเมริกันเขา ดูในหนังหรือแม้กระทั่งอ่านนิยายเองยังเจอเด็กในเรื่องต้องเขียนเปเปอร์วิเคราะห์เรื่องนี้ เมืองไทยเราไม่มี assignment แบบนี้มั่งแว้ อิจฉา เนื้อเรื่องคร่าวๆเท่าที่พอจำได้จะเกิดในยุคศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึง นอกนั้นไม่รู้อะไรแระ

The Girl in Between - Laeken Zesa Kemp

14. The Girl in Between - Laeken Zesa Kemp
เรื่องนี้มาจากซีรีส์เดียวกันกับชื่อของมัน เห็นหน้าปกบวกกับชื่อดูเหมือนจะเป็น YA ที่มีอะไรน่าตื่นเต้นซ่อนอยู่ เลยลองกดเข้าไปอ่านเนื้อเรื่องย่อสักนิด พบว่าตัวเอกผู้หญิงเป็นโรคเจ้าหญิงนิทรา แต่เธอต่างไปจากผู้ป่วยคนอื่นๆคือพอตื่นมาแล้วยังจำเหตุการณ์อะไรๆได้อยู่ แล้วก็มีเด็กผู้ชายแปลกๆเข้ามาเกี่ยวพัน เนื้อเรื่องดูลึกลับนิดๆและฟรี ทำไมจะไม่โหลดละ

Before I Fall - Lauren Oliver

15. Before I Fall - Lauren Oliver
ไปได้มาจากงานเซลล์ที่ห้องสมุด Neilson Hays เป็นปกแข็งด้วย เล่มละ 150 บาท สภาพยังเนี้ยบเลยคว้ามาแบบไม่คิดนาน เล่มนี้เป็น YA ที่ดังมานานมากๆ booktuber พูดถึงกันเยอะมากและก็เอาไปทำเป็นหนังด้วย แต่เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ตอนนั้น พอมาเจอขายไม่แพงเลยแบบ เออ ซื้อมาอ่านขำๆก็ได้

A Suitable Boy - Vikram Seth

16. A Suitable Boy - Vikram Seth
ได้มาจากงานเดียวกันกับเล่มบน เราตามเล่มนี้มานานมากๆแล้ว ที่ Dasa มีมาไม่ค่อยบ่อย แต่เข้าทีไรออกไวทุกที คงมีคนจ้องอยู่เหมือนกัน ไอ้เราเองไม่เคยทัน แล้วราคาก็ยังแพงอยู่ด้วย จนมาเจอในงานนี้แค่ 50 บาท แม่เจ้า ถูกมากเว่อร์ ถึงแม้สันปกด้านล่างจะแหว่งไปหน่อยก็ช่างมัน ถือว่าคุ้มมากๆกับวรรณกรรมอินเดียที่ดีแบบนี้ แต่เรื่องความหนาเห็นแล้วแอบท้อใจเลย

Three Cups of Tea - Greg Mortenson and David Oliver Relin

17. Three Cups of Tea - Greg Mortenson and David Oliver Relin
ยังคงได้มาจากแหล่งเดียวกัน มองเห็นไกลในระยะ 5 เมตร เรานี่รีบใส่เกียร์ยูเซน โบลต์ไปคว้ามากอดแนบอกไว้เลย กลัวโดนแย่งจัด หลังจากที่โดนนางนึงแย่งปกแข็งงาน Patrick Ness ไปก่อนหน้าแล้ว (พูดแล้วแค้นใจนัก ฮึ่ย) เล่มนี้ราคา 150 สูงพอสมควรแต่ด้วยความที่หายากเลยต้องเอาไว้ก่อน เขียนโดยนักปีนเขาที่ไปช่วยสร้างโรงเรียนให้เด็กๆในหมู่บ้านที่ปากีสถาน น่ารักน่าประทับใจมากๆ 

Strange Weather in Tokyo - Hiromi Kawakami

18. Strange Weather in Tokyo - Hiromi Kawakami
ได้มาจากที่เดิมเช่นกันสำหรับเล่มนี้ ไม่คิดว่าจะเจอหนังสือเล่มนี้ในไทยเลยพับผ่า ก่อนหน้านั้นสักสองวีคได้ เราดู booktuber คนนึง hual หนังสือแล้วก็เจอกับเล่มนี้ ดูหน้าปกมันน่าสนใจดี เป็นรูปผู้หญิงทำท่าเหมือนกระโดดค้างไว้แล้วถ่ายภาพมา เนื้อหาในเรื่องเหมือนเป็นเรื่องสั้นมาเรียงเข้าด้วยกัน เท่าที่จำได้จะออกแนวเหงาๆหว่องๆในสไตล์ญี่ปุ่น จะโหลดจาก Kindle store แล้วแหละ แต่เช็คราคาแล้วแรงมากจนถอดใจ ไม่นึกจริงๆว่าจะมาเจอในงานแค่ 50 บาท แถมวางอยู่แบบไม่มีใครใส่ใจไยดี เสร็จโก๋สิฮะ

Tears of Tess - Pepper Winters

19. Tears of Tess - Pepper Winters
ของฟรีอีกแล้วครับทั่น เล่มนี้อยู่ในซีรีส์ Monster in the Dark เป็นเรื่องราวของ Tess Snow นักศึกษาสาวปีสุดท้ายที่ชีวิตดี๊ดี เรียนใกล้จบ มีแฟน ไปฉลองครบรอบสองปีกับแฟนที่เม็กซิโก แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นางโดนลักพาตัวและวางยาด้วย แฟนหนุ่มที่ชื่อ Brax จะตามไปช่วยได้รึเปล่าก็ไม่รู้ ตอนแรกเห็นพล็อตเออ ดูตื่นเต้นดี มาเปิดเช็คใน Goodreads ถึงเจอว่าเป็น erotic สาย BDSM คงจะแซบน่าดู

The Irish Cottage: Finding Elizabeth - Juliet Gauvin

20. The Irish Cottage: Finding Elizabeth - Juliet Gauvin
เล่มนี้ก็ฟรีอีกเช่นกัน จริงๆเห็นมาพักนึงได้แล้วแต่เพิ่งมาตัดสินใจโหลดเอาเมื่อกี้นี้ ชื่อเรื่องดูน่าสนใจดี Irish Cottage ฟังดูน่าพัก เป็นหนึ่งในซีรีส์ The Irish Heart เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Elizabeth ทนายสาวที่ตรอมใจเพราะป้าที่เลี้ยงมาตาย ก็ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง บินมาเริ่มชีวิตใหม่ที่ไอร์แลนด์ และได้พบกับชายชื่อ Connor ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับอะไรมั่ง แต่ใน Goodreads บอกเป็น chick lit อะนะ

เดือนหน้าจะเยอะขนาดนี้มั้ย ไม่มีใครบอกได้ แม้แต่เราเองก็ตอบไม่ได้ ไว้มาดูแล้วกันว่าจะมีมากน้อยยังไง แต่ที่แน่ๆกองดองมันมากขึ้นทุกวันๆแล้ว



Sunday 28 May 2017

Anna and the French Kiss


Anna and the French Kiss


ความจริง Anna and the French Kiss เป็นหนังสือที่เราเห็นใน book hual ของ booktuber ทั้งหลายแล้วอยากได้มาก มันเป็นหนึ่งในงานซีีรีส์ของ Stephanie Perkins ที่จะยังมีอีก 2 เล่มด้วยกัน จนมีพี่จากในพันทิปส่งมาให้ เขาซื้อมาจากร้านหนังสือในฟิลิปปินส์ พออ่านจบแล้วก็ส่งให้เราตอนแวะกลับมาเยี่ยมบ้านที่ไทย เราได้มานานมากแล้วเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดก็กลางๆปี 2014 โน่นแน่ะ แต่กว่าเราจะได้อ่านก็นานมากแล้ว น่าจะกลางปีที่แล้วได้มั้ง ฮ่าๆ นานจัด กว่าจะมีเวลาทำรีวิว 

เรื่องราวของ Anna เด็กสาวม.ปลายที่มีพ่อเป็นนักเขียนนิยายน้ำเน่าที่เพิ่งดังเป็นพลุแตก (อ่านๆไปแล้วรู้สึกเหมือนคนเขียนแอบจิกลุงนิคยังไงชอบกล) อยู่ดีๆนางก็ถูกพ่อจับส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่ปารีสโน่น ทั้งๆที่เธอกำลังไปได้สวยกับหนุ่มคนคุยที่ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยกันที่โรงหนัง ชีวิตกับเพื่อนสนิทก็เฮฮากันดี ไปอยู่ที่โน่นเธอได้พบกับเพื่อนใหม่และหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-ฝรั่งเศสอย่าง Étienne St. Clair แม้เขาจะมีแฟนสาวรุ่นพี่เป็นตัวเป็นตนแล้วแต่ Anna ก็อดที่จะตกหลุมรักไม่ได้

เนื้อเรื่องก็ออกแนว puppy love ตามประสา YA เนื้อหาเบาๆน่ารักๆน่ะแหละ ส่วนตัวเราชอบบุคลิกของ Anna ตรงที่นางเป็นคนชอบดูหนัง ถึงขั้นมีบล็อกวิจารณ์หนังของตัวเอง แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนในสาขาที่เกี่ยวข้อง เราฟินแทนนางมากที่ได้ไปดูหนังในโรงดีๆในปารีส จะว่าไป Stephanie บรรยายลัษณะของตัวละครแต่ละตัวเก่งมากเลยนะ มันชัดเจนจนเหมือนเรามองเห็นแต่ละคนอยู่ตรงหน้า ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครง่ายมาก เหมือนเป็นร่วมชั้นเลยก็ว่าได้ รู้สึกแปลกในเชิงบวกอยู่หน่อยนึงกับพระเอก คือไม่มีบุคลิกอะไรที่เรารู้สึกอยากได้น่ะ ปกติเวลาอ่านอะไรหลายเรื่องจะรู้สึกคล้อยตามว่าพระเอกดูเป็นที่น่าอยากได้จัง ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติ แต่กับ
Étienne นี่เราเฉยๆนะ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แค่ไม่นึกอยากได้ตามนางเอกอะ หรือเพราะเขาบรรยายว่าค่อนข้างเตี้ยก็ไม่รู้สินะ แต่มันทำให้เรารู้สึกดีแปลกๆบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเรายอมรับเขาเป็นพระเอกได้แม้เราจะไม่ได้หลงใหลในตัวเขาน่ะ จะว่าไปเรากลับชอบ Josh (ที่เดี๋ยวจะเป็นพระเอกในอีกเรื่องของซีรีส์นี้) มากกว่าซะอีก

ในมุมนึงของเรื่อง Anna ดูเหมือนเป็นนางร้ายอยู่หน่อยๆ นางไปชอบคนที่มีเจ้าของแล้ว แม้จะพยายามห้ามใจแต่ก็ไม่พยายามเอาตัวออกห่างเท่าที่ควร อิตา Étienne พระเอกก็พอกัน ทั้งๆที่ตัวเองมีแฟนแล้วก็ยังปันใจให้กับคนที่รู้สึกตรงสเป็คมากกว่า ทำไมไม่รีบบอกเลิกคนเก่าให้มันจบๆไปก่อนเริ่มศึกษาดูใจคนใหม่ละ แต่ก็พูดยากนะ บางทีเราก็ดูไม่ออกว่าเรามีใจให้ใครมากกว่าเพื่อนรึเปล่าน่ะ แต่รวมๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ลำไยมากจนน่ารำคาญอะ อ่านได้แบบเรื่อยๆเพลินๆดี

ส่วนตัวรู้สึกว่าฉากฟินๆจิ้นๆมีน้อยไปนิด ไม่สมกับความเป็นปารีสเลย ไม่รู้เพราะชื่อมันที่มีคำว่า French Kiss หรือเปล่าที่ทำให้เราคาดหวังมากเกินไปแบบนั้น แต่ฉากฟินที่เด่นๆหน่อยเหมือนจะมีแค่ 2 ฉากเอง คือฉากในโรงหนังกับฉากนอนหอพัก ใครที่ชอบแบบจิกหมอนปรอทแตกอาจจะต้องผิดหวังนะ เรื่องนี้เขาออกแนวใสๆมากกว่า มีจุ๊บเจิ๊บกันบ้างพอหอมปากหอมคอ แล้วก็น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีบรรยากาศของปารีสเยอะเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะเรารู้สึกปารีสค่อนข้างดี ก็เลยคิดว่ามันน่าจะสนุกกว่าถ้าสามารถบรรยายฉากและสถานที่ได้ละเอียดยิบกว่านี้

ภาษาอ่านง่ายมากๆ แทบไม่มีศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายโผล่มาให้เห็นเลย มีบ้างนิดๆหน่อยๆแต่จะไม่หาก็ได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแกนของเรื่องอะไร ภาษาออกแนวเสียดสีเหน็บแนมเล็กๆเวลาเล่าหรืออธิบายถึงบางอย่าง เราชอบอะไรแบบนี้นะ มันไม่ทื่อๆน่าเบื่อดีอะ ทำให้ยิ้มได้แม้มันจะไม่ใช่เรื่องตลก

อ่านอะไรต่อดี >> Lola and the Boy Next Door และ Isla and the Happily Ever After ของ  Stephanie Perkins




Saturday 13 May 2017

Faking It

สำหรับเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่เรารอคยจะอ่านมานานมากๆ Faking It หนึ่งในหนังสือซีรีส์ของ Cora Carmack จริงๆเล่มนี้ดังพอสมควรมาหลายปีแล้วละ แต่เราเพิ่งมีโอกาสจะได้อ่าน ในไทยไม่เคยเห็นที่ไหนขายเลย ไปเดินหาที่ Kinokuniya สาขา Emporium ก็ไม่มี เลยถอดใจพับโครงการไป เพิ่งได้มาโหลดเข้า Kindle นี่แหละ 

Faking It

Faking It เป็นเรื่องราวชีวิตของ Max ที่ต้องเฟคความเป็นตัวของตัวเองซ่อนไว้ต่อหน้าพ่อแม่ ด้วยความที่ตัวนางเองเป็นสาวแสบใช้ได้ สัก เจาะ ทำหัวสีๆ เป็นนักร้องวงร็อก มีอาชีพเสริมคือกลางวันทำงานร้านสักและเต้นในบาร์ตอนกลางคืน แถมมีแฟนแต่ละคนพ่อแม่หัวโบราณของนางก็ไม่เคยจะแอพพรูฟ นางก็เลยต้องใช้ชีวิตซ่อนแอบความเป็นตัวเองมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกับแฟนที่ชื่อ Mace ก็เหมือนกัน นางไม่กล้าที่จะให้พ่อแม่ที่มาเยี่ยมช่วงวันขอบคุณพระเจ้าโดยไม่บอกกล่าวพบกับเขา นางเลยคว้าเอาหนุ่มดีกรีป.โทด้านการละคอนที่นั่งหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตรักตัวเองแถวนั้นมาทำแฟนหลอกๆโชว์พ่อแม่ อิตาหนุ่มคนนี้ชื่อ Cade ด้วยความที่เป็นนักเรียนการละคอนฮีเลยตกลงอย่างว่าง่าย เหมือนได้ซ้อมการแสดงไปในตัวอะนะ ท่ามกลางความต่างอย่างสุดขั้วของพระเอกนางเอก ดำเนินไปบนโชว์แฟนกำมะลอตบตาพ่อแม่ ความรักมันก็เกิดขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ แต่เรื่องราวไม่ได้ลงเอยง่ายๆ นางเอกเองมีแฟนอยู่แล้วและยังหอบเอาความทรงจำเก่าๆที่แสนจะเลวร้ายไว้ตลอดเวลา

บอกได้คำเดียวว่าวางไม่ลง เนื้อหามันแซบจี๊ดใจมากๆ มันโดนเรามากด้วยความที่เรามีอะไรคล้ายนางเอกหลายอย่าง รวมๆแล้วคือเราต้องซ่อนความเป็นตัวเองกับที่บ้านเหมือนๆกัน รู้สึกเหนื่อยใจเวลาต้องดีลกับที่บ้านพอๆกัน อ่านแล้วอินมากๆ เข้าใจนางเอกสุดๆเลย แล้วทุกๆครั้งที่มีฉากเข้าพระเข้านางนี่ฟินสุดๆ จิกหมอนกระจุย แต่ไม่ได้เหมือนพวก new adult หลายๆเล่มที่เอะอะอะไรพระเอกก็ลากนางเอกขึ้นเตียงยันเต แบบนั้นมันน่ารำคาญอะ แต่อันนี้ Cade พระเอกของเราดูเหมือนเป็นคนเรียบร้อย ไม่ได้รอบจัด แต่ก็มีเสน่ห์เหลือร้าย เนียนๆเป็นแฟนนางเอกได้สมจริงมากเว่อร์ พ่อแม่นางไม่ขัดสักคำ ปลื้มลูกเขยมากซะจนอยากให้อยู่ไปยาวๆ ทำเสียแผนเยอะเหมือนกัน

เราชอบวิธีการเล่าเรื่องที่สลับไปมาระหว่าง Cade กับ Max นะ สลับกันบทต่อบทไปตามไทม์ไลน์เรื่องเลยอะ มันทำให้เราอินในความเป็นตัวละครแต่ละตัวมากๆ ถ้าบรรยายแบบบุคคลที่สามมันจะทำให้กร่อยไปเลยทันที แต่อันนี้เขาทำให้เราเหมือนไปยืนในรองเท้าของคนทั้งคู่ ในเวลาที่เราอ่านคำว่า I เราจะรู้สึกเป็นทั้ง Cade และ Max อย่างเท่าเทียมกันเลย ไม่มีอคติกับการกระทำหรือการตัดสินใจใดๆของทั้งคู่สักนิด ต่างกับเวลาที่ I เป็นนางเอกหรือพระเอกอย่างเดียวไปตลอดทั้งเรื่อง แบบนั้นจะทำให้เรารู้สึกผูกพันหรืออินกับตัวละครที่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องได้มากกว่า เราเพิ่งเคยอ่านนิยายที่ใช้วิธีการเล่าแบบนี้ครั้งแรกเลย แล้วก็ติดใจมากๆ

อ่านมาจนถึงช่วงท้ายของเรื่อง เป็นช่วงที่เปิดปมเต็มๆว่านางเอกมีปมในใจอะไรนักหนา ตรงนี้แอบรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เหมือนนางเอกเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาเป็นเหตุผลบังหน้ากลบนิสัยเสียๆของตัวเอง อ่านแล้วจะเข้าใจเอง คือเราอ่านแล้วมองว่าปมชีวิตพวกนั้นไม่ใช่ปมที่จะส่งผลให้เกิดสันดานเสียอันนี้ มันไม่เกี่ยวกันเลย แต่เหมือนนางใช้มาอ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบในการกระทำที่เกิดจากสันดานเสียของตัวเองมากกว่า แบบอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าหมดรักเอาได้ง่ายๆ คนอะไรวะ ประมาณนี้ แต่นางเอกก็ไม่จำเป็นต้องนิสัยดีเพียบพร้อมอะเนอะ ฮ่าๆๆ 

สาแก่ใจกับที่รอคอยจะอ่านมาหลายปีมากๆ นี่ถ้าเป็นฮอลิเดย์ยาวๆหรือเป็นเด็กปิดเทอมไม่ต้องทำงานทำการอะไรคงตะลุยอ่านม้วนเดียวจบแบบ one sitting ไปแล้ว วางไม่ลงจริงๆ อ่านไปตบเข่าฉาดไปหลายตอน จิกหมอนไปก็หลายที เหมาะมากๆสำหรับคนที่ชอบนิยายรักแบบที่ไม่ได้โรแมนติคหรือหวานเลี่ยน มีความเซ็กซี่นิดๆและมีปมชีวิตบ้างพอให้พล็อตไม่กลวงจนเกินไป

อ่านอะไรต่อดี >> Losing It และ Finding It ของ Cora Carmack



Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi