Sunday, 28 September 2014

แผ่นดินของเรา



... ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู  แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว ...

ทุกครั้งที่ได้เห็นถ้อยคำนี้ เรามักจะเห็นภาพของชายสูงวัยที่ยังเปลี่ยมล้นไปด้วยความสง่า ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความใจดีเยือกเย็นผู้หนึ่ง ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ และจ้องมองมันด้วยสายตาที่มีหลากหลายอารมณ์ระคนกัน

                                                                                                     Source

แผ่นดินของเรา ผลงานเลื่องชื่อของแม่อนงค์หรือที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นนามปากกาของครูมาลัย ชูพินิจ คือนิยายชีวิตที่ว่าด้วยโศกนาฏกรรมความรักที่เกิดขึ้นระหว่างหญิงสาวผู้ซึ่งมีหัวใจรักอิสระอย่างภคินี, ธำรง นายหัววัย 40 ที่เป็นเพื่อนต่างวัยของพ่อ, นเรนทร์ หนุ่มนักกฎหมายดีกรีด็อกเตอร์จากฝรั่งเศส  เขาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญและเป็นคู่หมั้นของ ... อัจฉราพี่สาวต่างแม่ของภคินี ส่วนตัวเราเองรู้จักนิยายเรื่องนี้ครั้งแรกก็จากผลงานละครที่มีหม่อมน้อยเป็นผู้กำกับที่สร้างร่วมกับเอ็กแซ็กท์นั่นแหละ ตอนนั้นเรายังเรียนประถมด้วยซ้ำ ยังไม่สามารถจับความปราณีตบรรจงของบทประพันธ์หรือแม้แต่ศาสตร์การกำกับหนังและละครของหม่อมน้อยได้สักเท่าไหร่ แต่ที่เรารู้ก็คือละครเรื่องนี้แซบมาก มีผู้หญิงที่ชื่อภคนีได้กับผัวแก่รุ่นอาที่เป็นเพื่อนของพ่อ แล้วอยู่ดีๆเป็นชู้กับหนุ่มนักเรียนนอกที่เป็นคู่หมั้นของพี่สาวตัวเอง สุดท้ายหนีตามกันไปอยู่ต่างจังหวัด ด้วยความที่เป็นเด็กแก่แดดเลยถูกใจกับเนื้อหาอะไรที่แซบๆและแหวกขนบแบบนี้ ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งไปมากกว่านั้นเลย ตอนที่ดูก็จำได้ว่าผู้แสดงทุกคนเล่นดี ตีบทแตกมากเท่านั้นเองจริงๆ และก็ชอบเพลงประกอบที่ขับร้องโดยคุณใหม่มากๆ รู้สึกว่าผู้แต่งตีความตามอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของภคินีออกมาได้อย่างหมดหัวใจจริงๆ

เรามีโอกาสได้กลับมาอ่านแผ่นดินของเราอีกครั้งช่วงม.ปลาย เป็นหนังสือที่อยู่ในชั้นของญาติคนที่เราเคยยืม Shanghai Baby มาอ่านนั่นแหละ นาทีนั้นที่ได้เห็นรู้สึกดีใจเหมือนพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้ก็ไม่ปาน เพราะเป็นนิยายที่อยากอ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ดูละครมันมีความรู้สึกที่ค้างคาใจว่าทำไมภคินีถึงตัดสินใจทำอะไรลงไปแบบนั้น มันเหมือนเป็นสิ่งที่เด็กวัย 10 ขวบแบบเราไม่เข้าใจ แต่เราจำไว้ว่าสักวันเราจะต้องทำความเข้าใจกับมันให้ได้ เราอ่านจบภายในรวดเดียวเลยค่ะ อ่านอย่างชนิดที่แทบจะไม่พักวางไปทำอะไรอย่างอื่นเลย ไดอะล็อกและการพรรณนาต่างๆตรึงเราไว้กับหนังสือได้อยู่หมัดทีเดียว 

หลังจากที่อ่านจบแล้วก็ให้สงสัยเป็นอันมากว่าเราจะนิยามผู้หญิงที่ชื่อภคินีว่าอย่างไรดี ด้วยความรู้สึกส่วนตัวที่คิดว่าคนเราควรจะมองอะไรจากหลายๆด้านและไม่ตัดสินใครก่อน ทำให้เรารู้สึกว่าภคินีเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกและความต้องการของตัวเองมากไป ในหลายๆครั้งมันมากเกินไปจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว สร้างความเดือดร้อนและเสียใจให้แก่คนรอบตัวของเธอ หรือถ้าจะมองแบบคนหัวเก่า ภคินีก็อาจจะเป็นแค่ผู้หญิงที่ยอมพ่ายแพ้ให้กับอำนาจฝ่ายต่ำ ถึงขั้นที่ยอมเป็นชู้กับคู่หมั้นของพี่สาวและหนีตามกันไปในที่สุด แต่เรายังเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้นะว่าภคินีรักนเรนทร์จริงๆและถึงมันจะเป็นความรักแบบโง่ๆถึงขนาดยอมขายตัวเองแลกกับเงินอันน้อยนิดเพื่อเอาเงินพวกนั้นมารักษานเรนทร์ก็ตาม รักษาเขาที่เป็นโรคติดต่อทางเพศที่มันอาจจะแอบซ่อนมาตั้งแต่ครั้งที่เขายังใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเจ้าสำราญจิ้มไปทั่วที่ฝรั่งเศส ไม่แน่ใจว่าเธอติดโรคมาจากเขาหรือเปล่า หรือว่ามาติดเอาจากลูกค้าคนอื่นๆหลังจากนั้น การตัดสินใจของภคินีตั้งแต่ต้นจนจบอาจจะมองได้ว่าเธอเป็นผู้หญงที่โง่และทำตัวเหลวแหลกไม่รักดีคนหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ทำให้เราและผู้อ่านหลายๆคนนึกรังเกียจเธอได้ลงเลยจริงๆ

สิ่งที่น่าทึ่งของนิยายเรื่องนี้อยู่ตรงที่ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้ชายและเป็นคนที่เกิดในสมัยก่อนด้วย สามารถเขียนเรื่องราวในมุมมองของผู้หญิงออกมาได้ระห่ำผิดยุคสมัยยิ่งนัก เราขอใช้คำว่าระห่ำนี่แหละเพราะรู้สึกว่ามันตรงใจดี อ่านแล้วบางคนอาจจะนึกไปถึงหนังบู๊ล้างผลาญที่มีฌอง โคลด แวนแดมม์ มานำแสดงอะไรทำนองนั้น แต่คำว่าระห่ำสำหรับเราในที่นี้คือการตัดสินใจหลายๆอย่างของภคินีที่มันแหวกขนบ แหวกจารีต และแหกกฎทางศีลธรรมหลายๆอย่างออกไป นัยว่าทำอะไรตามใจตามความต้องการของฉันแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่แคร์ว่าจะมีใครต้องเดือดร้อนหรือเสียใจอะไรหรือไม่ จนถึงปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่เคยพบนิยายไทยเล่มใดอีกเลยที่ผู้ชายจะสามารถกลั่นกรองเอาความรู้สึกนึกคิดถ่ายทอดผ่านตัวละครหญิงออกมาได้ดีขนาดนี้ ต้องขอคารวะครูมาลัยจริงๆค่ะ

... ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆ แดงเรื่อแกมเหลืองลอยว่อนกระจัดพลัดพรายอยู่ในอากาศที่โปร่งสะอาดหน่อยหนึ่ง  เหมือนลวดลายของตาข่ายที่คลุมไตรพระ กลีบและเกสรอาจจะตกลงถูกเหยียบเป็นผุยผงไป โดยผู้คนที่เข้ามาพลุกพล่านอยู่ในบ้านวันนั้น แต่ไม่มีใครเลยจะสามารถทำความชอกช้ำให้แก่กลิ่นหอมหวนยวนใจของมันได้ กลิ่นที่ฟุ้งขจรอยู่ในอากาศซึ่งล่องลอยไปทั่วบริเวณบ้านอย่างที่มันเคนฟุ้งขจรมาแล้วตลอดชีวิต ต่างแต่วันนี้ แม้ในแสงสีแดดอ่อนเหลืองอร่ามของต้นฤดูเหมันต์ซึ่งเต้นอยู่ตามยอดหญ้าในสนาม แม้ในกระแสลมที่โชยพัดมาตามกิ่งพิกุลซุ้มสนหางสิงห์ตลอดจนกลุ่มเมฆที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นของมัน หอมหวนยิ่งขึ้น  ฉุนขึ้น สุขุมขึ้น รัดรึง ซึ้งใจ กำซาบซ่านไปตามสายโลหิต กลิ่นซึ่งเป็นชีวิตของทุกชิวิตใน “จีระเวสน์” แต่อดีตและชีวิตของ “จีระเวสน์” เองในปัจจุบัน ...


อ่านอะไรต่อดี >> ความรักครั้งสุดท้าย ของ สุวรรณี สุคนธา



No comments :

Post a Comment

Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi