Wednesday, 5 November 2014

I Roam Alone


ถ้าจะมีใครสักคนมาถามเราว่าในชีวิตนี้ใครคือมนุษย์ที่เราอิจฉาที่สุดในโลก เราขอตอบแบบไม่ลังเลเลยว่าคนผู้นั้นคือ มินท์ หรือ มณฑล กสานติกุล นักเดินทางสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์สาวคนหนึ่งของไทยนั่นเอง และเราเชื่อว่าสาวๆหรือแม้แต่หนุ่มๆหลายคนที่หลงรักการเดินทางแบบแบกเป้ก็คงจะเคยนึกอิจฉาเธออยู่ครามครันเป็นแน่ 


ส่วนตัวเราต้องยอมรับว่าบาดใจทุกครั้งที่ได้รู้เรื่องราวของเธอ ไม่ว่าเธอจะอัพบล็อกตอนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอได้ไปถ่ายทำรายการร่วมกับทีมงานฅนค้นฅน เราก็ไม่ค่อยอยากจะติดตามสักเท่าไหร่ นิสัยไม่ดีเลยเรา ยอมรับกันตรงๆ เพราะยิ่งดูก็ยิ่งให้อิจฉาชะตาชีวิตของเธอที่มีโอกาสเดินทางมากมายเสียจัง รวมทั้งมีครอบครัวที่ใจกว้าง ปล่อยให้ลูกสาววัย 20 กลางๆได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างอย่างเต็มใจ ดังนั้นเมื่อสำนักพิมพ์บันลือได้ตีพิมพ์หนังสือบันทึกประสบการณ์ในการเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียของเธอนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะหามาไว้ในครอบครอง

ใน I Roam Alone เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นตอนสั้นๆ มีมากมายเกินกว่า 50 ตอนด้วยกัน ตอนนึงมีขนาดไม่ยาวมาก ถ้อยคำที่เธอเลือกใช้ก็กระชับ แต่สามารถสื่อความได้ดี เลยไปจนถึงกินใจสุดๆในหลายครั้ง และแน่นอนว่าภาพประกอบก็สวยมากเช่นเดียวกัน อีกจุดนึงที่ต้องให้เครดิตอย่างมากเลยก็คือทีมงานที่จัดหน้าหนังสือ เขารู้จักเลือกจังหวะการเว้นวรรคและจัดสเปซต่างๆได้อย่างเหมาะสม ทำให้การอ่านมีอรรถรสขึ้นอีกมาก ต้องขอชมเชยไว้ ณ ที่นี้ด้วยใจจริง ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้อ่านไปก็อิจฉาตาร้อนผ่าวไปตามทุกหน้าที่เปิดอ่าน

สาเหตุที่ซื้อมาไม่ใช่เฉพาะความรักและหลงใหลในการเดินทางสไตล์แบกเป้ของเราอย่างเดียว หากแต่อยากจะนำไปให้มารดาของเราได้อ่านด้วย จะได้เรียนรู้ว่าความฝันของเราเป็นอย่างไร ให้ได้เห็นว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวที่ก็เป็นคนไทยเหมือนกันกับเราก็สามารถออกเดินทางคนเดียวได้ และจะได้เห็นถึงทัศนคติของมารดาผู้เขียน (แม้แต่อาม่า) ด้วยว่าทำไมเขาถึงใจกว้างกับลูกสาวเขานัก ก็ได้แต่หวังว่ามารดาของเราคงคิดได้แบบมารดาผู้เขียนในเร็ววันนี้ (ความจริงตอนแรกพิมพ์ไปว่า "ในสักวัน" แต่เห็นท่าจะไม่ดี "ในสักวัน" นี่มันวันไหนวะ ถ้าวันที่เรา 40 ไปแล้วนี่ไม่โอเคนะ เลยเปลี่ยนเป็น "ในเร็ววัน" แทน) ไม่ว่าหนุ่มสาวคนไหนที่มีความฝันอันเดียวกันกับมินท์หรือแม้แต่ฉัน แต่กลับมีอุปสรรคคือคนทางบ้าน อยากให้ลองหาหนังสือเล่มนี้และนำไปแบ่งปันให้พวกเขาได้อ่าน จะได้เป็นการเปิดโลกของผู้ใหญ่ขึ้นอีกทาง ..... เฮ้ยพอเถอะ เราว่าเราไม่ใช่คนติดพูดจาแนวสวยหวานหน่อมแน้มอะไร ว่ากันตรงๆคือ เอาไปให้พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่ขัดขวางความฝันของการเดินทางรอบโลกอ่านซะ จะได้เปิดหูเปิดตาดูว่าคนเขาทำกันทั้งบางไม่เห็นเป็นไร ให้ดูบ้างว่าพ่อแม่คนอื่นเขาสนับสนุนความฝันของลูกหลานกันยังไง อย่ามัวมากลัวโลกนี้อยู่เลย โลกเรามันไม่ได้มีอันตรายเกินไปกว่าที่คนเราจะใช้ชีวิตรอดหรอก ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้ชายนี่ยิ่งต้องเอาให้อ่านเลยนะ คิดดูสิว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวอย่างมินท์ยังรอดมาได้ (ความจริงเธอสูงถึง 173 ก็ไม่เล็กเลยนะ สูงกว่าพ่อเราเสียอีก) แล้วที่บ้านจะกลัวอะไรนัก ถ้าผู้หญิงคนนึงทำได้ คุณก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงอะไรเลย ..... เฮ้ออ รู้สึกเหมือนได้ระบายความอึดอัดใจไปชุดใหญ่เลยแฮะ


อ่านอะไรต่อดี >>  หนังสือประสบการณ์ท่องเที่ยวของกรกฎ พัลลภรักษา, พลอย มัลลิกะมาศ, กาญจนา หงษ์ทอง และ เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย




Monday, 3 November 2014

October 2014 | Book Haul

เมื่อต้นเดือนแวะเวียนมาบรรจบเราก็จะได้พบกัน book haul กันอีกครา แหม่ สำนวนฟังดูโบราณดีจัง สำหรับเดือนตุลาฯที่เพิ่งผ่านพ้นมาหมาดๆนี้ก็เรียกได้ว่าโชกโชนกันพอสมควรค่ะ มีหนังสือทะลุหลักสิบอีกแล้ว แต่ก็อนุโลมเพราะว่ามันเป็นเดือนของงานหนังสือพอดี ถ้ามีไม่ถึงน่ะสิแปลก อย่ามัวพูดพล่ามทำเพลงค่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

1. The Joy Luck Club - Amy Tan


สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายชื่อดังของ Amy Tan ที่เคยเอาไปทำหนังด้วยค่ะ เรื่องราวจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแม่ลูกชาวจีน น่าจะ 4 คู่มั้งถ้าจำไม่ผิด ทั้งหมดเป็นคนจีนที่ได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกาค่ะ สะท้อนความคิดความเชื่อระหว่างคนสองรุ่นได้ดีทีเดียว เล่มนี้จัดมาที่ราคา 70 บาทจาก Dasa ค่ะ สภาพก็เก่านิดหน่อย มีรอยแตกที่สันเล็กน้อย มีคราบๆตามขอบด้วย แต่เราไม่ค่อยถือเท่าไหร่ ไม่มาแบบแหลกๆรุ่งริ่งหรือมีรอยย่นเปื่อยจากน้ำก็โอเคแล้วค่ะ

2. Dolce c Salata - Marlena de Blasi


ช่วงที่ได้เล่มนี้มาเนี่ยเรากำลังฮิตหนังสือแนวการใช้ชีวิตในชนบทของประเทศแถบยุโรปค่ะ ทำไร่ ทำสวน ทำอาหาร บรรยากาศมันจะอบอุ่นนวลๆดี อย่างเล่มนี้เป็นเรื่องของเชฟสาวใหญ่กับสามีที่ย้ายจากเวนิสไปยังเมืองเล็กๆแถบทัสคานีค่ะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารอิตาเลียนแบบท้องถิ่น อ่านแล้วหิวเลยละค่ะ ตอนนี้อ่านบทแรกยังไม่จบดีค่ะ ยังค้างเติ่งมาจนถึงทุกวันนี้ แต่อ่านแค่นั้นแล้วอยากไปเที่ยวเลยนะ ที่ฟินคือได้มาถูกมา 49 บาทเองค่ะ เจอที่กระบะ blow-out หน้าร้าน Dasa ค่ะ เห็นปกลายลูกแพร์สะดุดตา เลยหยิบมาอ่านเรื่องย่อคร่าวๆดู โดนเลยค่ะ รีบคว้ามาถือเลยทีเดียว

3. The God of Small Things - Arundhati Roy


เล่มนี้หมายมั่นปั้นมือมาหลายเดือนแล้วค่ะ ได้รางวัลการันตีด้วย เพราะฉะนั้นพลาดไม่ได้ เนื้อหาว่าด้วยเด็กฝาแฝดชายหญิงชาวอินเดียที่เติบโตมาในรูปแบบที่ต่างกันค่ะ น่าจะประมาณนี้นะ สะท้อนค่านิยมสมัยเก่าและสมัยใหม่ได้ดีทีเดียว ราคาแพงนิดนึงที่ 170 ค่ะ มาจาก Dasa เช่นเคย แต่อย่างว่าเป็นหนังสือที่ดีจริงๆ ถึงจะอ่านไปแค่ไม่กี่บทก็รู้เลยว่าดีมากๆ ด้วยราคานี้เลยไม่ถือว่าแพงเกินไปค่ะ สภาพก็ยังดี๊ดีด้วยนะ

4. Rasputin - Maria Rasputin and Patte Barham


เล่มนี้ได้มาจากเพื่อนชาวอินเดียค่ะ เรามีร้านขายเสื้อเลยส่งเสื้อไปแลกกับหนังสือมาละ เขาบอกว่าเป็นประวัติของราสปูตินที่ลูกสาวเขียนร่วมกับผู้รวบรวมทางประวัติศาสตร์อีกคนค่ะ เราเองปกติไม่ชอบอ่านอะไรแนวประวัติศาสตร์เท่าไหร่เลยนะ แต่กลับชอบอยากรู้เรื่องของราสปูตินมากเลยแหละ ดูลึกลับปนหลอนๆดีค่ะ รู้สึกเขามีเสน่ห์แบบหลอนๆบอกไม่ถูกค่ะ

5. Five Point Someone - Chetan Bhagat'


นี่ก็แลกมาเหมือนกันค่ะ สำหรับผู้แต่งเล่มนี้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนนึงของอินเดีย อาจจะไม่ใช่ big name มากนักแต่ก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมค่ะ ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรนะ เพราะเขาไม่ได้บอกไว้และเราก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยค่ะ

6. Kashmir If You Can - แพร ฉัตรพร


สาวคนนี้ดังมาจากพันทิปก็ว่าได้ กับการทำ travel journal ของเธอค่ะ เล่มนี้บวกกับความเป็นอินเดียด้วยแล้วยังไงเราก็ไม่พลาดที่จะซื้อไว้ เรียกหยิบมาถือเลยโดยไม่ต้องคิดเปิดอ่านก่อนเลยแหละค่ะ เล่มนี้ 170 บาทค่ะ ซื้อมาจากบูธของแซลมอน

7. I Roam Alone - มินท์


หนังสือรวมประสบการณ์การเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียของผู้หญิงที่เราอิจฉาที่สุดในโลกค่ะ ซื้อมาก็ปวดใจไปเพราะอยากเกิดเป็นคนๆนี้มากเลย ฮ่าๆ อยากมีชีวิตแบบนี้บ้างจัง ลดเหลือ 245 บาทหรือไงละ ลืมแล้ว จากแซลมอนเหมือนกันค่ะ อ่านจบไปเมื่อวานนี้เอง รูปสวย เนื้อหาใช้ได้ และขอย้ำอีกว่าอิจฉามาก



เล่มนี้เจอมาจากรุ่นน้องคนนึงแนะนำไว้ในกระทู้ abaw นี่ละค่ะ คนเขียนไปเป็นอาสาสมัครในการสร้างโรงเรียนในเมืองบ้านนอกที่อินเดีย ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวการไปท่องเที่ยวโดยตรง แต่ถ้าเห็นเป็นอินเดียเราต้องคว้าไว้ก่อนละค่ะ ได้มาที่ 143 บาทจากบูธอมรินทร์ เพิ่งจะเขียนรีวิวไปเอง ลองดูได้ค่ะ 

9. รากฐานชีวิตคริสเตียน - ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์


เป็นหนังสือที่สอนพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนค่ะ เหมือนจะเป็นแบบฝึกหัดด้วยกลายๆ เหมาะสำหรับคริสเตียนใหม่ค่ะ เล่มนี้หลังปกเขียนไว้ว่า 85 บาท แต่ได้ลด 50% แน่ะ เหลือแค่ 43 บาทเองละ คุ้มจริงๆ จากร้านปัญญาจารย์ แอบงงว่าทำไมสมาคมพระคริสตธรรมไทยเวลาไปออกบูธถึงใช้ชื่อว่าร้านปัญญาจารย์ก็ไม่รู้นะ 

10. The Middle Message - V.S. Naipaul


เราเล็งหนังสือของนักเขียนคนนี้มานานแล้ว เจอที่ Dasa ก็หลายเล่มแต่ไม่ได้ฤกษ์ซื้อสักที มาได้เอาที่ร้านมือสองในงานหนังสือนี่ละค่ะ ราคา 60 บาทเองนะ ถูกไม่น่าเชื่อ สภาพไม่โทรมมากด้วยค่ะ เสียดายจำชื่อร้านไม่ได้เลย

11. I Know Why Caged Bird Sings - Maya Angelou


ความจริงเล่มนี้เรามีแล้วนะ แต่มาเจออยู่กองเดียวกับเล่มบน วางไว้แทบติดกันเลยแหละ เราเลยถามเขาว่าเท่าไหร่ เขาบอกว่า "ให้พี่ 60 เท่าเล่มตะกี้ละกัน" เจอลูกนี้เข้าไป ใจอ่อนเลยค่ะ มีแล้วก็มีวะ เอามาอีกละกัน ดีนะเบบี๋ไม่สังเกตเห็นว่าซื้อมาซ้ำน่ะ

รวมยอดทั้งหมดที่ 11 เล่มจ้าสำหรับเดือนตุลาฯนี้ ส่วนในเดือนนี้ตั้งใจว่าอาจจะหาอะไรสักเล่มสองเล่มให้เป็นของขวัญตัวเองในวันเกิดค่ะ เล็งๆเอาไว้ว่าจะเป็นหนังสือพวกที่ขึ้น top chart ของร้าน Bookmoby หรืออะไรทำนองนั้นแหละค่ะ แต่อย่างอื่นคงไม่ซื้อแล้วค่ะ ตอนนี้หยุดเข้าเช็คสต็อกของ Dasa มาได้ร่วม 2 อาทิตย์แล้ว ดีใจมาก ไม่มีตัวกระตุ้นกิเลส ยังไงเอาไว้มาดูกันต้นเดือนหน้าเนอะว่าจะได้อะไรมาเพิ่มบ้าง



Saturday, 1 November 2014

ติ่ง

หากฟังจากชื่อแล้วคงไม่แปลกที่จะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเชิงเอนเตอร์เทนหรือจิกกัดสังคมไทยแบบขำขัน เพราะว่าในยุคนี้คำว่าติ่งมีความหมายไปในเชิงจิกกัดและล้อเลียนพฤติกรรมของผู้หญิงบางกลุ่มในสังคมไทยเรา แต่ไม่ใช่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจริงๆแล้ว ติ่ง เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดถึงมุมมองของผู้เขียนอย่างปริตตาที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตเป็นอาสาสมัครอยู่ในเมืองบ้านนอกของอินเดียเป็นเวลาพอสมควร


รีบสรุปความดีงามของหนังสือเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ ว่ามันเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดมุมมองความคิดที่ค่อนข้างแยบคายและมองโลกมุมบวกได้ดีทีเดียวสำหรับผู้เขียนที่มีอายุ 20 กลางๆในสมัยนี้ ไม่ใช่ว่าจะดูถูกอะไรผู้เขียนนะ แต่บ้านเราสมัยนี้หาคนที่มีความคิดลึกซึ้งคมคายได้น้อยลงทุกวัน ขนาดคนวัย 40 กว่าแต่ยังคิดและเล่นอะไรแบบไม่ได้สาระก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ด้วยมุมมองอันแยบคายและน่าสนใจของผู้เขียน เราเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณรักมันอย่างไม่ยากเลย แต่ต้องขอติสำนักพิมพ์ Springbooks เล็กน้อยที่ยังปรูฟงานไม่แม่น มีคำที่สะกดแบบและลืมเปลี่ยนภาษาโผล่มาให้เห็น 2-3 จุด

ย่อหน้าข้างบนนี้เป็นเหมือนบทวิจารณ์หรือจะเรียกว่าติชมก็ได้ที่เรามีถึงตัวหนังสือจริงๆ ข้อดีก็คือมุมมองชีวิตของผู้เขียน ข้อเสียอยู่ที่การตรวจปรูฟตัวสะกด ง่ายๆแค่นั้นแหละ แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้เป็นความรู้สึกจริงๆที่เรามีต่อเนื้อหาเรื่องเล่าของผู้เขียน

ในเนื้อหาตั้งแต่ช่วงกลางเล่มเป็นต้นไปที่ผู้เขียนเล่าถึงวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมมันทำให้เราหงุดหงิดเอามากๆเลย พ่อแม่ทำเหมือนลูกสาวเป็นสินค้า จับแต่งงานกับใครก็ต้องไป เพราะขี้เกียจเลี้ยง แต่งงานออกไปซะคนในบ้านก็ลดลงไปคนนึง ไม่ต้องแย่งกันกินกันใช้ ตัวลูกๆเองไม่ว่าจะหญิงจะชายก็ฟังคำสั่งพ่อแม่แบบซ้ายหันขวาหันโดยไม่ปริปากบ่น เกิดมาชาตินึงไม่มีสิทธิ์เลือกเส้นทางดำเนินชีวิตของตัวเอง ไม่แม้แต่จะคิดว่าอยากเลือกเองด้วยซ้ำ เหมือนใช้ชีวิตเป็นหุ่นกันไปวันๆ พ่อแม่จะเชิดไปทางไหนก็เอา เหมือนไม่มีสมองไม่มีหัวจิตหัวใจเลย เรารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตที่ต้องสาป ถ้าต้องให้เรามีชีวิตแบบนี้เราขอตายดีกว่า ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อ่านแล้วบอกตรงๆว่าหงุดหงิดมาก ในหัวนึกขึ้นมาอย่างร้ายกาจว่าอยากจับมนุษย์โลกที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมจัดไปรมแก๊สตายให้หมดท่าจะดี เพราะขัดขวางความเจริญของโลกมากๆ ไม่มีคนพวกนี้ประชากรโลกส่วนนึงคงมีความสุขขึ้นเยอะ

ด้วยความที่หนังสือมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ว่าถึงเรื่องความเป็นอนุรักษ์นิยมที่น่าอึดอัดใจ เราเลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่แอนตี้ระบบความคิดแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะอ่านแล้วจะทำให้หงุดหงิดและโกรธมากเลยทีเดียว มิไยที่ผู้เขียนจะย้ำนักย้ำหนาว่าเราไม่ควรเอาวัฒนธรรมตัวเองไปตัดสินวัฒนธรรมของคนอื่น แต่ความเป็นจริงของเนื้อเรื่องจะทำให้คิดตลอดว่ามันคือวัฒนธรรมที่เลวร้ายและสำควรเป็นอย่างมากที่จะต้องกำจัดทิ้งให้ไปเสียจากโลกนี้ ถึงแม้เนื้อหาจะเป็นมุมบวกและได้ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต แต่อิสระชนที่เกลียดการบังคับคงจะต้องอึดอัดใจกับเนื้อหาหลายบทหลายตอนทีเดียว ก็เอาเป็นว่าพิจารณากันเอาเองนะว่าจะลองเสี่ยงดีหรือไม่


อ่านอะไรต่อดี >> ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะยังไม่เคยเจอหนังสือเล่มไหนที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงเล่มนี้มาก่อน



Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi