Monday, 21 August 2017

When Dimple Met Rishi


When Dimple Met Rishi

ไม่ค่อยบ่อยนักที่เราจะได้อ่านงานจากนักเขียนอินเดียที่เริ่มมีผลงานดังจากในฝั่งอเมริกาก่อน อย่าง When Dimple Met Rishi นี้เป็นผลงานของ Sandhya Menon ที่ไม่ได้ดังจากในประเทศอินเดียเองเหมือนอย่างงานของนักเขียนอินเดียชื่อดังคนอื่นๆ แน่นอนว่าเราเห็นเล่มนี้มาจาก booktuber อีกแล้ว ส่วนตัวเราอยากลองอ่านงานเขียนจากนักเขียนอินเดียที่มีพล็อคอิงไปทางความเป็นอเมริกันมากขึ้นกว่าที่เราอ่านงานของ Chetan Bhagat ที่ยังมีความเป็นอินเดียอยู่สูง

เรื่องทั้งหมดว่าด้วยเด็กหนุ่มสาว 2 คนที่ชื่อ Dimple Shah และ Rishi Petal ทั้งสองคนนี้ถูกพ่อแม่ให้ดูตัว และถ้าโอเคก็อยากให้แต่งงานกัน ซึ่งแน่นอนว่า geek สาวหัวสมัยใหม่อย่าง Dimple ไม่ชอบใจแน่ๆ ส่วน Rishi หนุ่มแสนดีที่พยายามทำตัวให้ตรงตามที่พ่อแม่คาดหวังก็ไม่ได้ขัดอะไร เขาเดินทางไปแคมป์แข่งสร้างแอพฯมือถือที่ Dimple ไปเข้าร่วม สองคนนี้เจอกันก็ค่อนข้าง cliché แหละ ไม่ชอบขี้หน้า (เพิ่งนึกได้ตอนเขียนโพสต์นี้เลยว่าทำไมหน้าปกถึงมีแก้วกาแฟที่คล้าย Starbucks และทำไมต้องวงเล็บไว้ต่อท้ายคำว่าไม่ชอบขี้หน้า ลองไปติดตามเอาเอง) เริ่มประทับใจ จนญาติดีกันในที่สุด และแน่นอนว่าในการเข้าร่วมแข่งขันทำแอพฯนี้ทั้งสองคนจับคู่กัน (ด้วยความไม่เต็มใจนักของ Dimple ในช่วงแรกๆ) แต่พอเริ่มญาติดีกันแล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี

อิการประกวดทำแอพฯนี้มีเจ้าของงานเป็นผู้หญิงคนนึงที่ดังมากในโลกดิจิตอล จะบอกว่าเธอคนนี้คือไอดอลของ Dimple เลยก็ว่าได้ นางเลยตั้งใจกับทุกๆอย่างมาก มากจนไปกดดันเอากับ Rishi อย่างชนิดที่เรารำคาญแทน อ่านไปก็หงุดหงิดไป ว่าต่อให้เอ็งจับคู่กับคนที่ตั้งใจมาเพื่อเข้าแคมป์เหมือนๆกัน (Rishi เรียนอีกด้านและมาแค่เพื่อดูตัว) แล้วไปไล่จี้กดดันเขาแบบนี้ก็ไม่ถูก มันดู bossy และแพ้ไม่เป็นอะ คือคนอื่นทั่วไปก็คงอยากชนะแหละ เหมือนได้เป็น portfolio หรือมีเครดิตให้กับตัวเองก่อนเข้ามหาลัย ซึ่งมันก็ดีที่ทำแบบนั้น แต่ Dimple นี่เหมือนเป็นพลังติ่งไอดอลซะมากกว่า ดูมันรุนแรงเกินกว่าความอยากสร้าง port สำหรับการเรียนไปมาก มากจนดูงี่เง่าและเหมือนคนบ้า

แต่จุดที่เราชอบกลับเป็นความแตกต่างที่ลงตัวของทั้งสองคนนี้ นิสัยบางอย่างของ Dimple กลับช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ Rishi ขาดได้ ในขณะที่เขาเองก็มีสิ่งที่ Dimple ไม่มี และคนอ่านแบบเราเห็นด้วยว่าควรจะต้องมี หรือความแตกต่างกันระหว่างพี่ชายน้องชายตระกูล Patel คนนึงจะเรียนด้าน engineer (ก็อิตา Rishi เนี่ยละ) อีกคนออกแนวนักกีฬา ทั้งสองคนเหมือนเกิดมาจากคนละครอบครัว Rishi ดูเก็บกด เป็นตัวของตัวเองมากไม่ได้ในแง่ความฝันความชอบ เหมือนต้องแบกภาระความเป็นลูกคนโตของครอบครัวนักธุรกิจไอทีเอาไว้จนยอมทิ้งความฝันตัวเอง เอาจริงๆอ่านไปลำไยไปในความคิดของตานี่ แบบถ้ามีผู้ชายคนไหนที่คิดงี้มาจีบเรานะ ต่อให้หน้าแกะแบบจาก Brad Pitt สมัยเล่น Meet Joe Black มาก็เหอะ ชั้นเขี่ยตกกระป๋องเลย คือไม่ชอบเอามากๆเลยคนที่ยอมอ่อนให้ที่บ้านแล้วเลือกจะทิ้งความฝันตัวเอง ดูเป็นคนไม่มีค่า ไม่รู้จะสู้กับใครหรือกับอะไรเพื่อเราได้มั้ย รำคาญความเป็นแบบนี้ของ Rishi มากพอกับที่รำคาญความบ้าเอาชนะรางวัลทำแอพฯ ของยัย Dimple เลย แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเออ ไอ้สองอย่างนี้มันขั้วตรงข้ามกันเลยนี่หว่า Dimple ไม่ได้ต้องการเป็นสาวสวย แต่งหน้าไปหาผัวแบบที่แม่อยากให้เป็น นางดื้อรั้นที่จะเป็นในแบบที่ชอบ หัวฟู ใส่แว่น หน้าไม่แต่ง ชั้นจะนั่งเขียนโค้ดสร้างแอพ แต่นางก็มุ่งมั่นมากเกินจนเอาความอยากเอาชนะ อยากสำเร็จของตัวเองไปไล่กดดันเอากับชาวบ้านโดยไม่จำเป็น บางทีมันทำให้ดูไม่น่าคบเลยอะ ส่วนอิตา Rishi ที่ต้องแอบซ่อนพรสวรรค์ในการเขียนการ์ตูนไว้ เขากลับดูเข้าใจโลกมากกว่าในอีกมุมนึง ดูเป็นคนรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รู้จักปลงได้ง่ายกว่าเมื่ออะไรๆไม่เป็นไปตามใจคิด ไม่เอาแต่โวยวายหัวเสีย

เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนมาก พล็อตเดาออกค่อนข้างจะง่าย แต่ก็สนุกไปกับการลุ้นว่าสองคนนี้จะชนะรางวัลมั้ย มีทั้งรางวัลประกวดการแสดงที่ได้เงินไปพัฒนาแอพฯ กับรางวัลในการสร้างแอพฯจริงๆที่จะต้องแข่งกัน มีความลำไยในความสับสนทางความคิดของ Dimple เข้ามาแทรกเป็นระยะๆ ด้วยความบ้าบออยากเป็นที่หนึ่ง อยากประสบความสำเร็จให้ได้แบบไอดอลของนาง เรื่องอะไรที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเรื่องเพื่อนเรื่องความรัก นางต้องสลัดออกให้หมด ทำยังกับว่าได้ผัวแล้วสมองจะทื่อมะลื่อคิดงานไม่ออกไปตลอดชีวิตงั้นแหละ รำคาญในความประสาทเสียแบบนี้ของนางเป็นระยะๆตลอดเรื่อง รวมๆก็ถือว่าอ่านได้เพลินๆดี ไม่มีอะไรให้ติดในแง่พล็อตหรือการเขียน เหมือนกับว่ารำคาญนิสัยนางเอกมากกว่านั่นแหละ อีกจุดที่ดูจะแปลกๆคือมีการพูดอฮินดีในเรื่องโดยที่ไม่แปล ดีนะที่เราเป็นติ่งอินเดียเลยอ่านเข้าใจ ได้เรียนภาษาฮินดีมาบ้าง นี่ก็งงๆเหมือนกันว่าอิพวก booktuber จะอ่านแล้วอินเหรอ มีภาษาที่ตัวเองไม่รู้ตั้งหลายรอบ ใครที่ไม่มีพื้นภาษาฮินดีมาอ่านก็อาจจะเอ๋อได้นิดๆในบ้างช่วง แต่ไม่มีผลกระทบกับเส้นเรื่องแน่นอน

อ่านอะไรต่อดี >> 2 States by Chetan Bhagat

post signature

Saturday, 19 August 2017

The Hate U Give


The Hate U Give

นี่เป็นหนังสือที่เราได้ยินจาก book haul แค่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เรารีบเก็บเข้า wish list ใน Amazon ทันที The Hate U Give ผลงานจาก Angie Thomas ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตในสังคมคนดำของเด็กสาวผิวดำที่ชื่อ Starr Carter ชีวิตของเธอเติบโตมาในย่านชุมชนคนดำ แต่พ่อแม่พยายามผลักดันให้เธอเข้าเรียนโรงเรียนที่เธอจะได้มีสังคมดๆีอย่างโรงเรียนของคนขาวที่อยู่นอกเขตชุมชนตัวเอง Starr เลยเกิดความรู้สึกไม่ fit in กับทั้งสองสังคมอยู่บ่อยครั้ง ในยามที่ต้องอยู่กับเพื่อนๆที่โรงเรียน เธอต้องระวังตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางอะไรที่มัน too black ในหมู่เพื่อน หรือเวลาอยู่กับเพื่อนๆในหมู่บ้านคนดำ พวกเพื่อนเหล่านั้นก็มีความรู้สึกเหมือนเธอโดน white wash ไปแล้วซะอย่างงั้นเพียงเพราะเธอเข้าโรงเรียนของคนขาว

เนื้อเรื่องโดยส่วนใหญ่เริ่มตึงเครียดขึ้นเมื่อเพื่อนชายในวัยเด็กของเธอที่ชื่อ Khalil โดนตำรวจผิวขาววิสามัญฆาตกรรมต่อหน้าเธอข้างๆรถของเขา เธอเลยกลายเป็นพยานปากเอกในคดีครั้งนี้ ประเด็นซีเรียสหลักๆของเนื้อหาทั้งหมดคือการที่ตำรวจผิวขาวในอเมริกามีการวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยที่เป็นกลุ่มคนผิวดำบ่อยขึ้นมากกว่ายุคก่อนๆ ทำให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะคนดำเอง รวมทั้ง people of colors จากประเทศต่างๆเกิดความไม่พอใจและตั้งคำถามถึงปัญหานี้ ซีนกระชากอารมณ์ก็มีอยู่หลายจุด แต่จุดที่ทำให้เรา break down จริงๆคือตอนที่ Starr ไปงานศพของ Khalil นี่ละ Angie เขียนอธิบายฉากนี้ได้โคตรสะเทือนใจเลย เด็กหญิงอายุ 16 ต้องมางานศพเพื่อนตัวเองที่วัยเท่าๆกัน แถมเธอยังเห็นการตายของเขาต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องนี้มันยากเกินใจจะอดทนจริงๆ วันนั้นเราพก Kindle เราไปนั่งอ่านไปกินไปที่ร้านไก่ผู้พัน พอถึงฉากนี้เราน้ำตาไหลอาบแก้มเลย มันกลั้นไว้ไม่ไหวจริง ทั้งสงสาร Starr ทั้งเจ็บแค้นในชะตากรรมที่ Khalil ต้องประสบ

พ่อแม่ของ Starr ซัพพอร์ทเธอดีมากๆทั้งในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และความรู้สึกของเธอหลังจากเหตุการณ์บ้าๆนั้นเกิดขึ้น ต้องคอยพาเธอตระเวนไปพบให้ปากคำ ไปพบทนายเพื่อซักซ้อมในการไต่สวน มีไปออกรายการทีวีด้วย และในที่สุดก็ต้องไปขึ้นศาล เนื้อเรื่องจะวนๆกับความเครียดของ Starr ในจุดนี้มากพอสมควร มันเป็นการยากที่ Srarr จะต้องเปิดเผยตัวว่าเธอนี่ละคือพยานเด็กสาวในคดีตำรวจผิวขาวยิงเด็กหนุ่มผิวดำหน้ารถวันนั้น เพราะเพื่อนๆที่โรงเรียนก็จะรู้ นอกจากนี้ยังมีมาเฟียใหญ่ของแก๊งค์ค้ายาที่กลัวความลับถูกเปิดโปงเข้ามาร่วมด้วย ถ้าเธอเลือกจะพูดความจริงไปทั้งหมด ชีวิตของคนในครอบครัวเธอก็จะอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ Starr เครียดจนอ้วกไปหลายรอบมากเท่าที่จำได้ เพราะเธอต้องเลือกระหว่างเรื่องของตัวเองกับการทวงความยุติธรรมให้เพื่อน ความเครียดทุกอย่างนี้ถูกตัดสลับกับความไม่ค่อยจะลงรอยกันของเธอกับเพื่อนสาวอีกคนนึงในกลุ่ม รวมทั้งปัญหาเบาๆกับพ่อเรื่องที่เธอมีแฟนหนุ่มเป็นคนผิวขาว เราว่ามันดีที่มีเนื้อเรื่องมาเสริมให้เราไม่ต้องโฟกัสไปกับเรื่องเครียดๆของคดีจนเกินไป ทำให้เราได้เห็น Starr ในอีกมุมว่าเธอเป็นยังไงเวลาที่อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับแฟน

อีกจุดที่เราคิดว่าหนักเอาการคือเรื่องราวชีวิตของคนดำ มันเหมือนต้องสาป มันเหมือนวงจรอุบาทว์อะไรสักอย่างที่มักโดนคนมองแต่ภายนอกแล้วตัดสินว่าไม่ดี ในขณะที่ก็มีคนดำบางกลุ่มทำตัวไม่ดี เป็นแก๊งค์ค้าขาย เป็นอันธพาลจริงๆ เรื่องนี้ถือได้ว่าตีแผ่ให้เห็นสภาพชีวิตและวัฒธรรมของคนดำในยุคใหม่ได้ดีเลย แต่นั่นก็นำมาซึ่งคำศัพท์หลายๆอย่างที่คนไทยอาจจะไม่เข้าใจ เป็นแสลงที่ใช้กันเฉพาะในกลุ่มคนดำ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดทั่วไปอย่าง A'ight ที่แปลว่า All right หรือคำที่ใช้เรียกสิ่งของอย่างรองเท้า Nike รุ่น Air Jordan เขาก็จะมีวิธีเรียนในแบบของเขาที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่ sneakerhead อาจจะไม่เข้าใจ รวมไปทั้งเรื่องทางวัฒนธรรมอย่าง Black Jesus ที่เราอาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่ยังไม่นับศัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องแก๊งค์ค้ายานะ ทั้งตำแหน่งคน ทั้งอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก อ่านเล่มนี้ต้องเปิด urban dictionary ไปด้วยรัวๆเลย dict built-in ใน Kindle เอาไม่อยู่ แต่เชื่อมั้ยว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งอยากเห็นเล่มนี้เอามาแปลเป็นไทย อยากจะรู้ว่าเขาจะแปลออกมายังไง เลือกใช้คำแบบไหน เราว่ามันแปลยากเอาการเลย คนแปลต้องทำการบ้านเกี่ยวกับชีวิตคนดำในรูปแบบชาวแก๊งค์มากพอสมควรเลยถึงจะแปลได้อย่างเข้าถึง

เรื่องนี้เป็น it's a must เลย เราแนะนำทุกคนให้อ่านจริงๆนะ เราอ่านจบแล้วชอบมากๆ ถ้าเราจะต้องให้ของขวัญใครเป็นหนังสือ ไม่ว่าเขาจะเพศใดวัยไหน เราเลือกเล่มนี้แน่นอน อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน ถึงแม้ว่ามันจะเครียด กดดัน มีน้ำตา แต่มันเต็มไปด้วยความดีงามของพลังการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม มันอาจจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนตัวเล็กๆอย่างพวกเราได้หันมา stand up and speak out บ้างก็ได้ เราเชื่อว่าสังคมไทยยังคงต้องการคนแบบ Starr จริงๆนั่นแหละ

อ่านอะไรต่อดี >> Wing Jones by Katherine Webber, Dear Martin by Nic Stone


post signature

Wednesday, 2 August 2017

July 2017 | eBook Haul

ผิดคาดมากฮะคุณผู้ชม เดือนนี้ทั้งเดือนไม่ได้ควักเงินซื้ออะไรเลย อาจจะเพราะป่วยบ่อยด้วย โรคเก่าหายโรคใหม่แทรกอยู่เนืองๆ ไม่ได้แตะหนังสือใดๆทั้งสิ้นเลย นอนซมหลายวัน แต่ก็ยังแอบมีกะใจเช็ค wish list ตัวเองแล้วพบว่ามีเล่มนึงจากที่ราคาไม่ได้แพงมากเขาแจกฟรีอยู่ ก็รีบโหลดสิฮะ

Lives Collide

Lives Collide - Kristina Beck
เล่มนี้เก็บเข้า wish list ไว้สักพักใหญ่ๆได้แล้ว ไม่ใช่หนังสือที่ดังมากอะไร ราคาตั้งต้นก็ไม่ได้แพงมากมาย จำได้ว่าเห็นเองตอนเข้าๆออกๆ Amazon นั่นแหละ อ่านเรื่องย่อแล้วชอบเลยเก็บไว้ เกี่ยวกับชีวิตเฉียดความตายของวัยรุ่นสาวคนนึง เธอจำดวงตาสีเขียวมรกตของคนที่ช่วยเธอให้รอดไว้ได้ แล้วก็ทิ้งไว้เพียงแจ็คเก็ทหนังอีกตัวเท่านั้น วันเวลาผ่านไปเธอรู้ดีว่าจะไม่มีใครรักเธอได้ถ้ารู้ถึงความลับของเธอ ฟังดูมีอะไรปิดบังอำพรางดีอะ ความลับที่ว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่รอดชีวิตมาด้วยแน่ๆ และเจ้าของตาสีเขียวมรกตกับแจ็คเก็ทหนังนั้นคือใคร น่าลุ้นมากเลย เมื่อสักพักใหญ่ๆเข้าเวบเล่นๆ เจอว่ามันลดจนเหลือศูนย์ดอล เฮ่ย อะไรยังไง กดไว้ก่อนเลยพวก อย่าได้รอช้า อ่อ ปกมันเป็นน้ำเขียวๆฟ้าๆดีอะ ชอบจัง

สรุปทั้งเดือนได้ของฟรีมาแค่เล่มเดียว และค่อนข้างจะมั่นใจด้วยว่าในเดือนสิงหานี้เราก็ไม่น่าจะได้ควักซื้ออะไรเท่าไหร่ ของเคลียร์ของเก่าให้พร่องลงจาก TBR list ก่อนแล้วกัน

post signature
Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi