Tuesday, 30 December 2014

ปีกหัก

ถ้าจะถามเราว่ามีหนังสือเล่มไหนมั้ยที่เรารู้สึกว่าเป็นการอ่านอันเกินตัว เราก็จะตอบว่าปีกหักนี่แหละคือหนังสือเล่มนั้น ครั้งแรกที่เราได้ทำความรู้จักกับหนังสือเล่มนี้คือสมัยที่เราอายุ 14 น่าจะได้ ในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงเรียน เรามักจะอาบน้ำอาบท่าก่อนที่จะลงไปกินข้าวเย็น และกิจกรรมอย่างนึงที่ชอบทำในระหว่างอาบน้ำก็คือการเอาหนังสือเข้าไปอ่านระหว่างนั่งส้วมนั่นเอง (เล่าแบบไม่อายกันเลยทีเดียว) และวันนั้นเราได้เลือกเอาขวัญเรือนฉบับเก่าเล่มนึงเข้าไปอ่าน คอลัมน์ที่เราได้อ่านเป็นคอลัมน์แนะนำหนังสือจากนักอ่านชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ปีกหักถูกแนะนำไว้โดยคุณมานพ ถนอมศรี (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เป็นผลงานของนักกวีและจิตรกรชาวเลบานอนที่ชื่อ Kahlil Gibran และถอดความเป็นภาษาไทยโดยศจ.ดร.ระวี ภาวิไล ซึ่งเป็นผลงานพิมพ์ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เราลองอ่านเรื่องย่อและชอบมาก เลยตัดสินใจซื้อมาด้วยอารมณ์เด็กสาวที่อยากอ่านนิยายรักจากนักเขียนต่างแดน

                                                             Source

เมื่อซื้อมาและอ่านจบจนแล้ว พบว่าภาษาสวยงามมาก สวยงามตราตรึงราวกับเราไปขึ้นไปยืนบนผาใหญ่และมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสวระยิบวิววาวอยู่เต็มท้องฟ้า อ่านแล้วก็ให้จินตนาการว่าตัวเราคือ "ผม" ผู้เล่าเรื่อง โอ้ เซลมา เธอช่างสูงส่งและไกลเกินคว้าเหลือเกิน เหมือนกับที่ "ผม" ยืนอยู่ตรงนี้ ได้ชื่นชมความงามของเธอ เหมือนจะใกล้ แต่ก็ช่างไกลกันเสียเหลือเกิน นี่คือความรักระหว่างหนุ่มสาวที่เป็นไปไม่ได้

ในวัย 14 อย่างนั้นเราไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากไปกว่าภาษายากๆงามๆแบบที่แทบจะต้องแปลไทยเป็นไทยเวลาอ่าน ไม่ได้รู้รายละเอียดอันลึกซึ้งอะไรมากไปกว่าความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวผู้ซึ่งเขาไม่อาจจะมีเธอไว้ในครอบครอง แต่เมื่อโตขึ้น เวลาผ่านไปนานนับสิบปี เราผ่านประสบการณ์มากมายในชีวิต ทำให้เรายิ่งเข้าใจและกำซาบกับมันมากยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่อ่านความเจ็บจะยิ่งซึมลึก มันลึกเหมือนกับว่าจะดูดเราคนอ่านเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "ผม" ในเรื่องยังไงยังงั้นเลยทีเดียวละ

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ในตอนนั้นที่เราอ่านคอลัมน์จากขวัญเรือน เขาลงรูปหนังสือตามแบบด้านล่างนี่ เรารู้สึกว่ามันสวยและน่าอยากได้เอามากๆ แต่พอไปถึงร้าน Se-ed แถวโรงเรียนกลับเจอแต่ฉบับปกแข็งสีเลือดหมูตามที่ลงไว้ด้านบน แถมมีขลิบสีทองอีกต่างหาก เลยออกจะเฟลนิดๆว่ามีแต่ปกแก่ๆให้เลือกหรือยังไงกัน สุดท้ายก็ต้องเอามาเพราะอยากอ่านเสียเหลือเกิน จนมาวันนี้เริ่มรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความสวยงามในการออกแบบหนังสือให้เป็นปกแข็งและขลิบทองเช่นนี้ ก็คงจะเหมือนกับการที่เราได้บ่มเพาะประสบการณ์ชีวิตตามเวลาสินะ จนในท้ายที่สุดเราก็สามารถซึมซับกับความเจ็บปวดจากปีกหักในแบบที่เราไม่อาจเข้าใจไปถึงเหมือนสมัยที่เรายังเป็นเด็ก

                                                         Source

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานทุกเล่มของ Kahlil Gibran 




Monday, 29 December 2014

Why We Buy

นี่คือหนังสือที่นักเรียนการตลาดและคนที่อยากค้าขายทุกคนควรมี

                              Source

ถ้าเราจำไม่ผิด Why We Buy เป็นหนังสือเกี่ยวกับการตลาดและการขายที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและออกวางขายในปี 2548 โดยสำนักพิมพ์มติชน เราเองด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การสร้างแบรนด์ และการโฆษณาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะพลาดหนังสือเล่มนี้แน่นอน คนที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับเราเป็นอาจารย์พิเศษท่านนึงที่มาสอนแทนอาจารย์พิเศษที่สอนประจำวิชา Advertising II แกพูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่านักเรียนควรจะไปซื้อหามาอ่านกันนะ อีกทั้งชื่อของหนังสือที่มันเป็นคำง่ายๆก็ทำให้เราจำได้ดี เราเลยไปซื้อที่งานสัปดาห์หนังสือตั้งแต่วันแรกๆเลยทีเดียว

เนื้อหาส่วนมากในหนังสือจะเกี่ยวกับเทคนิคการขายสินค้า ไม่ว่าจะทั้งหน้าร้าน รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ และกลยุทธ์อื่นๆที่เจ้าของแบรนด์หรือพนักงานขายควรจะมีเพื่อผูกใจลูกค้าไว้กับสินค้าและบริการของตน Paco Underhill ยกตัวอย่างโดยใช้ case study ที่อยู่ใกล้ตัวคนอ่านหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ได้เป็นการยกตัวอย่างถึงอะไรที่มันเฉพาะเจาะจงเกินไปเสียจนผู้อ่านจากบางประเทศอาจจะรู้สึกว่าเข้าไม่ถึง ไม่รู้จัก หรือไม่อิน เนื่องด้วยบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้อ่านที่มีความรู้ความสนใจเรื่องการตลาดและแบรนดิ้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็จะยิ่งอ่านได้เข้าใจและถึงอรรถรสมากขึ้น อีกทั้งยังมีการยิงมุกหรือใส่อารมณ์ขันลงไปอย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำให้ไม่ดูเคร่งเครียดจนเกินไป ส่วนสำนวนการแปลก็ลื่นไหล เข้าใจง่าย เหมาะสมสำหรับผู้อ่านที่อาจจะไม่มีพื้นฐานความรู้สายนี้มาก่อน ไม่มีอะไรที่เป็นสำนวนซับซ้อนชวนงงจนทำให้การตลาดดูเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อ ก็เหมือนอย่างคำโปรยที่ปน้าปกหนังสือนั่นแหละว่า Why We Buy คือหนังสือที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งการช็อปปิ้ง และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังสือเล่มนี้อย่างแรกเลยก็คือการยกตัวอย่างต่างๆของผู้เขียน มันทำให้เราเห็นภาพมากๆ เช่น วิธีคิดในการช็อปปิ้งที่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เวลาผู้หญิงซื้อจะเดินแบบละเลียดชมวิวไปเรื่อยตามรายทาง ส่วนผู้ชายจะพุ่งตรงฉับๆไปยังของที่เขาต้องการเลย เป็นต้น และเขาก็จะชี้ว่าจุดแตกต่างพวกนี้แหละที่มันมีประโยชน์มาก เจ้าของกิจการร้านค้าควรสังเกตให้เห็นและนำเอาไปปรับใช้กับกิจการของตัวเองเพื่อกระตุ้นยอดขายได้ นอกจากนี้ยังมีมุกจิกกัดสไตล์ตลกฝรั่งอีกด้วย ต้องชื่นชมคนแปลเลยนะที่เก็บมุกพวกนี้ได้แทบทุกเม็ดเลยจริงๆ อันนี้พูดได้เต็มปากเพราะอ่านจบแล้วทั้งเวอร์ชั่นแปลไทยและเวอร์ชั่นอังกฤษ แถมอ่านเกิน 5 รอบซะด้วยสิ 

ส่วนตัวก็ได้ใช้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงในการเขียน essay สมัยเรียนต่อด้านการตลาดอยู่หลายต่อหลายครั้งมาก เพราะตัวอย่างที่ปรากฎในหนังสือนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เป็นหนังสือเล่มที่เรามีสถิติยืมบ่อยที่สุดในห้องสมุด Morris Miller เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้มันยังเป็นหนังสือที่เราแนะนำทั้งเพื่อนและคนรู้จักทั้งที่มีธุรกิจอยู่แล้วหรือกำลังริเริ่มที่จะประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ซื้อหามาไว้อ่านเพิ่มพูนความรู้อีกด้วย ขนาดเฮียมั่นแห่งเวบมั่นคงแก็ดเจ็ดเราก็ยังแนะนำแกมาแล้วเลย และเฮียก็เชื่อซะด้วยสิ (เฮียลงรูปแคปเชอร์การสั่งซื้อให้ดูสดๆเลย) เราเชื่อมั่นเป็นอย่างมากเลยว่า Why We Buy จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีให้กับทุกๆคนที่เราเคยแนะนำไป อย่างน้อยๆมันก็จะทำให้สังเกตและฉุกคิดถึงพฤติกรรมการซื้อและไม่ซื้อของลูกค้าตัวเองบ้างแหละน่า และแม้ว่าคุณจะไม่ใช่นักเรียนการตลาดและไม่คิดที่จะทำธุรกิจส่วนตัวอะไรใดๆทั้งสิ้นในชีวิตนี้ เราก็ยังเห็นว่าคุณก็สมควรที่จะได้อ่านมันอยู่ดี เพราะอย่างน้อยๆมันก็จะช่วยให้คุณได้รู้ว่าทุกวันนี้นักขายและนักการตลาดได้ทำอะไรเพื่อล่อลวงให้คุณซื้อนั่นซื้อนี่โดยไม่จำเป็นบ้างหรือเปล่า

ป.ล. จะว่าไปแล้ว Why We Buy เป็นหนังสือเล่มที่เราอ่านมากรอบที่สุดในชีวิตเลยมั้ง

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานทุกเล่มของ วิทวัส ชัยปาณี




Saturday, 27 December 2014

เราจะข้ามเวลามาพบกัน

เราไม่ใช่คนที่อ่านนิยายบ่อยนักเมื่อสมัยเด็กและวัยรุ่น อาจจะเป็นเพราะไม่มีผู้ใหญ่ในบ้านคนไหนที่ติดนิยายแบบงอมแงมก็เป็นได้ เราเลยมีตัวเลือกให้อ่านน้อย แต่เนื้อเรื่องย่อของนิยายแนวคู่รักข้ามชาติข้ามพบเรื่องนี้ที่เราอ่านเจอจากนิตยสารปอปเล่มโปรดทำให้เราต้องรีบหาซื้อมาไว้ในครอบครองอย่างเร็วไว

                                                            Source

เราจะข้ามเวลามาพบกันเป็นผลงานเล่มที่สองของ Dr. Brian L. Weiss จิตแพทย์ที่มีความสามารถด้านการสะกดจิตระลึกชาติ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Only Love Is Real ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยดีเจชื่อดังคนหนึ่งสำหรับวัยรุ่นยุค 90 อย่างเราคือพี่โจ มณฑานี ตันติสุข (ไม่รู้ว่าตอนนี้แกไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วนะ ใครรู้ช่วยบอกด้วยค่ะ) และฉบับที่เราซื้อไว้เป็นผลงานพิมพ์ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้าค่ะ โดยส่วนตัวถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้อ่านนิยายมากเท่าไหร่ แต่พล็อตที่เกี่ยวกับความรักที่ผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติไม่ว่าจะมาในรูปแบบของหนัง ละคร หรือแม้แต่นิยายก็มักจะดึงดูความสนใจของเราได้เสมอ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเรารู้ว่าผู้แต่งนั้นเป็นถึงจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาด้วยการสะกดจิต ก็ทำให้ยิ่งเพิ่งความน่าเชื่อถือมากขึ้นค่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหนังสือมันคือเรื่องจริง

เนื้อเรื่องก็มีอยู่ว่า อลิซเบธและเปโดร หนุ่มสาวสองคนที่เป็น เอ่อออ เราไม่แน่ใจว่าการที่คนเราไปหาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดชั่วครั้งชั่วคราวจะต้องเรียกว่าคนไข้หรือเปล่าเพราะยังไม่ใช่คนที่เป็นจิตเภทเต็มตัวแบบนอนประจำที่โรงพยาบาลอะไรอย่างนั้น หรือจะเรียกลูกค้าดี เอาเป็นว่าคุณด๊อกเตอร์แกรักษาสองคนนี้ด้วยวิธีสะกดจิตนั่นละค่ะ เป็นการสะกดจิตเพื่อให้ย้อนอดีตไปยังเรื่องเก่าๆของตัวเอง ใช้ข้อมูลตรงนี้มาบำบัดและแก้ปัญหาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบๆตัวค่ะ สะกดกันไปมา ดันย้อนไปในชาติที่แล้วเข้าซะอย่างนั้น ย้อนไปย้อนมา ด็อกเตอร์สังเกตว่าเนื้อเรื่องในชาติภพต่างๆของคนทั้งคู่มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างน่าตกใจ เรื่องราวความเป็นไปของทั้งเปโดรและอลิซเบธจะเป็นอย่างไรก็คงต้องไปติดตามลุ้นกันเองแล้วละค่ะ แต่เราบอกได้เลยว่าพี่โจแปลได้ดีมาก มีหลายช่วงหลายตอนที่ทำเราน้ำตาไหลชนิดเขื่อนแตก คือเราไม่เคยอ่านนิยายรักแล้วเสียน้ำตามาก่อนเลยค่ะ เป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยจริงๆนะ เราไม่แน่ใจนะคะว่าพี่เขามีผลงานแปลออกมาก่อนหน้านี้เยอะแค่ไหน แต่เราได้อ่านเล่มนี้เป็นเล่มแรกและเล่มเดียว ขอยืนยันว่าเป็นงานแปลที่ดีจริงๆค่ะ 

นอกจากนี้ยังมีภาคผนวกในด้านหลัง ที่เราเอาข้อคิดหรือคำคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชาติภพ ชีวิตหลังความตาย การระลึกชาติ หรืออะไรที่เกี่ยวข้อของนักคิดและนักปรัชญาระดับโลกเอาไว้มากมาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งอินกับเรื่องชาติภพมากเลยค่ะ หลังจากที่อ่านจบแล้วรู้ซึ้งเลยว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงติดอันดับนิยายขายดีในบ้านเราประจำปีนั้นน่ะค่ะ คนชอบกันเยอะมากจริงๆ พิมพ์ออกมามากมายหลายสิบรอบ เปลี่ยนปกก็หลายที เท่าที่เราจำได้ก็มีแบบที่เราซื้อ (ตามรูปด้านบนเลย) กับอย่างน้อยอีก 4 แบบปกค่ะ แต่ทุกวันนี้กลับแทบไม่เห็นวางขายที่ไหนอีกเลย น่าแปลกใจเหมือนกันนะคะ

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานเล่มอื่นๆของ Dr. Brian L. Weiss



Monday, 1 December 2014

November 2014 | Book Haul

สำหรับเดือนที่ผ่านมานี้เราก็ได้เสียเงินไปกับหนังสืออีกแล้วค่ะ รวมแล้วเป็นเงินจำนวนไม่มากไม่น้อย แต่ได้หนังสือมาแค่ 4 เล่ม เพราะว่ามีเล่มนึงที่เป็นหนังสือเล่มใหญ่ราคาสูงนิดนึงน่ะค่ะ นอกนั้นจะเป็นหนังสือที่เราได้มาจาก library sales ของห้องสมุด Neilson Hays ค่ะ เอาละ อย่าให้เสียเวลาไปกว่านี้เลย มาไล่ดูไปแต่ละเล่มเลยดีกว่านะ

1. The Devil Wears Prada - Lauren Weisberger


นิยายเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังอันโด่งดังค่ะ ความจริงฉบับแปลไทยก็มีขายอยู่นะ มีมาหลายปีแล้วในบ้านเรา แต่เราไม่เคยอ่านค่ะ ด้วยความดังของมันเราคงไม่ต้องเล่าเรื่องย่อละเนอะ ส่วนตัวเคยดูแต่หนังค่ะ ก็ประทับใจประมาณนึง ถึงเล่มนี้จะไม่ใช่หนังสือที่คิดว่าจะต้องหามาอ่านให้ได้ แต่พอเจอว่าราคาแค่ 20 บาท ก็หยิบมาถือโดยไม่ต้องคิดเลยละค่ะ 

2. The Bhagavadgita


จัดว่าเป็นบทประพันธ์ที่โด่งดังจนเป็นสัญลักษณ์ของอินเดียเลยก็ว่าได้นะ จริงๆเล่มนี้ยืมเบบี๋อ่านได้เลยแหละเพราะเขามีเยอะหลายเวอร์ชั่น แต่เวอร์ชั่นนี้ของ Wordsworth Classics มันแค่ 20 บาทเองง่ะ เลยไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่ซื้อไว้น่ะค่ะ 

3. Many Lives, Many Masters - Dr. Brian Weiss


จำนิยายที่ชื่อว่า "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" ได้มั้ยคะ นั่นละค่ะ หนังสือเล่มนี้เป้นผลงานจากผู้แต่งคนเดียวกันนี้แหละ เราเคยอ่านเราจะข้ามเวลามาพบกันสมัยอายุ 15 เป็นผลงานแปลของคุณโจ มณฑานี ตอนนั้นอินกับเรื่องความรักข้ามชาติภพมากค่ะ รู้ว่าผู้แต่งมีผลงานเล่มนี้ก็เฝ้ารอเรื่อยมาที่จะได้อ่าน เมื่อมาป๊ะเข้าแล้วในราคา 50 บาทแบบนี้ มีเหรอจะปล่อยไปง่ายๆ รีบหยิบมาไว้ในอ้อมแขนโดยพลันจ้า

4. Light on Yoga/ประทีปแห่งโยคะ - B.K.S. Iyengar แปลไทยโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์


เนืื่องจากช่วงนี้เราตัดสินใจที่จะกลับมาฝึกโยคะอย่างจริงจังอีกครั้ง เป็นเหตุให้ซื้อหนังสือเล่มนี้มาค่ะ สำหรับเราหนังสือประทีปแห่งโยคะเป็นหนังสือรวบรวมการฝึกโยคะที่ดีที่สุดเล่มนึงเลยค่ะ เพราะมันครบถ้วนทั้งภาพประกอบ คำอธิบายอาสนะต่างๆ อีกทั้งขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับฝึกโยคะและการฝึกปราณายามะด้วย ที่สำคัญเป็นหนังสือที่เข้าถึงจิตวิญญาณโยคะแบบอินเดียแท้ๆค่ะ ไม่เหมือนหนังสือโยคะอื่นๆในบ้านเราที่ดูจะเน้นไปในทางเพื่อหุ่นสวยเสียมากกว่า ความจริงก็เคยอ่านมาบ้างค่ะแต่เราไม่ค่อยชอบแบบนั้นเพราะว่ามันดูผิวเผินเกินไป ส่วนตัวชอบศึกษาเรื่องอะไรก็ตามจากผู้เขียนที่มาจากประเทศต้นตำรับของศาสตร์นั้นๆมากกว่า เลยเลือกผลงานของ guruji มาอ่านค่ะ ซื้อมาในราคา 480 บาท ด้วยความหนา 600 กว่าหน้า คุ้มค่าจริงๆค่ะ

ก็คงจะมีเพียง 4 เล่มนี้ละค่ะสำหรับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านไป ส่วนตัวคิดว่าเดือนนี้คงไม่น่าจะซื้ออะไรเกินกว่า 2 เล่มแล้วละมั้ง และถ้าซื้อก็คงจะเป็นหนังสือเก่ามากกว่าค่ะ ยังไงไว้มาติดตามกันว่าจะเป็นยังไงเนอะ จะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าค่อยมาดูกันค่ะ


Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi