Tuesday, 30 December 2014

ปีกหัก

ถ้าจะถามเราว่ามีหนังสือเล่มไหนมั้ยที่เรารู้สึกว่าเป็นการอ่านอันเกินตัว เราก็จะตอบว่าปีกหักนี่แหละคือหนังสือเล่มนั้น ครั้งแรกที่เราได้ทำความรู้จักกับหนังสือเล่มนี้คือสมัยที่เราอายุ 14 น่าจะได้ ในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงเรียน เรามักจะอาบน้ำอาบท่าก่อนที่จะลงไปกินข้าวเย็น และกิจกรรมอย่างนึงที่ชอบทำในระหว่างอาบน้ำก็คือการเอาหนังสือเข้าไปอ่านระหว่างนั่งส้วมนั่นเอง (เล่าแบบไม่อายกันเลยทีเดียว) และวันนั้นเราได้เลือกเอาขวัญเรือนฉบับเก่าเล่มนึงเข้าไปอ่าน คอลัมน์ที่เราได้อ่านเป็นคอลัมน์แนะนำหนังสือจากนักอ่านชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ปีกหักถูกแนะนำไว้โดยคุณมานพ ถนอมศรี (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เป็นผลงานของนักกวีและจิตรกรชาวเลบานอนที่ชื่อ Kahlil Gibran และถอดความเป็นภาษาไทยโดยศจ.ดร.ระวี ภาวิไล ซึ่งเป็นผลงานพิมพ์ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เราลองอ่านเรื่องย่อและชอบมาก เลยตัดสินใจซื้อมาด้วยอารมณ์เด็กสาวที่อยากอ่านนิยายรักจากนักเขียนต่างแดน

                                                             Source

เมื่อซื้อมาและอ่านจบจนแล้ว พบว่าภาษาสวยงามมาก สวยงามตราตรึงราวกับเราไปขึ้นไปยืนบนผาใหญ่และมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสวระยิบวิววาวอยู่เต็มท้องฟ้า อ่านแล้วก็ให้จินตนาการว่าตัวเราคือ "ผม" ผู้เล่าเรื่อง โอ้ เซลมา เธอช่างสูงส่งและไกลเกินคว้าเหลือเกิน เหมือนกับที่ "ผม" ยืนอยู่ตรงนี้ ได้ชื่นชมความงามของเธอ เหมือนจะใกล้ แต่ก็ช่างไกลกันเสียเหลือเกิน นี่คือความรักระหว่างหนุ่มสาวที่เป็นไปไม่ได้

ในวัย 14 อย่างนั้นเราไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากไปกว่าภาษายากๆงามๆแบบที่แทบจะต้องแปลไทยเป็นไทยเวลาอ่าน ไม่ได้รู้รายละเอียดอันลึกซึ้งอะไรมากไปกว่าความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวผู้ซึ่งเขาไม่อาจจะมีเธอไว้ในครอบครอง แต่เมื่อโตขึ้น เวลาผ่านไปนานนับสิบปี เราผ่านประสบการณ์มากมายในชีวิต ทำให้เรายิ่งเข้าใจและกำซาบกับมันมากยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่อ่านความเจ็บจะยิ่งซึมลึก มันลึกเหมือนกับว่าจะดูดเราคนอ่านเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "ผม" ในเรื่องยังไงยังงั้นเลยทีเดียวละ

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ในตอนนั้นที่เราอ่านคอลัมน์จากขวัญเรือน เขาลงรูปหนังสือตามแบบด้านล่างนี่ เรารู้สึกว่ามันสวยและน่าอยากได้เอามากๆ แต่พอไปถึงร้าน Se-ed แถวโรงเรียนกลับเจอแต่ฉบับปกแข็งสีเลือดหมูตามที่ลงไว้ด้านบน แถมมีขลิบสีทองอีกต่างหาก เลยออกจะเฟลนิดๆว่ามีแต่ปกแก่ๆให้เลือกหรือยังไงกัน สุดท้ายก็ต้องเอามาเพราะอยากอ่านเสียเหลือเกิน จนมาวันนี้เริ่มรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความสวยงามในการออกแบบหนังสือให้เป็นปกแข็งและขลิบทองเช่นนี้ ก็คงจะเหมือนกับการที่เราได้บ่มเพาะประสบการณ์ชีวิตตามเวลาสินะ จนในท้ายที่สุดเราก็สามารถซึมซับกับความเจ็บปวดจากปีกหักในแบบที่เราไม่อาจเข้าใจไปถึงเหมือนสมัยที่เรายังเป็นเด็ก

                                                         Source

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานทุกเล่มของ Kahlil Gibran 




Monday, 29 December 2014

Why We Buy

นี่คือหนังสือที่นักเรียนการตลาดและคนที่อยากค้าขายทุกคนควรมี

                              Source

ถ้าเราจำไม่ผิด Why We Buy เป็นหนังสือเกี่ยวกับการตลาดและการขายที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและออกวางขายในปี 2548 โดยสำนักพิมพ์มติชน เราเองด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การสร้างแบรนด์ และการโฆษณาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะพลาดหนังสือเล่มนี้แน่นอน คนที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับเราเป็นอาจารย์พิเศษท่านนึงที่มาสอนแทนอาจารย์พิเศษที่สอนประจำวิชา Advertising II แกพูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่านักเรียนควรจะไปซื้อหามาอ่านกันนะ อีกทั้งชื่อของหนังสือที่มันเป็นคำง่ายๆก็ทำให้เราจำได้ดี เราเลยไปซื้อที่งานสัปดาห์หนังสือตั้งแต่วันแรกๆเลยทีเดียว

เนื้อหาส่วนมากในหนังสือจะเกี่ยวกับเทคนิคการขายสินค้า ไม่ว่าจะทั้งหน้าร้าน รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ และกลยุทธ์อื่นๆที่เจ้าของแบรนด์หรือพนักงานขายควรจะมีเพื่อผูกใจลูกค้าไว้กับสินค้าและบริการของตน Paco Underhill ยกตัวอย่างโดยใช้ case study ที่อยู่ใกล้ตัวคนอ่านหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ได้เป็นการยกตัวอย่างถึงอะไรที่มันเฉพาะเจาะจงเกินไปเสียจนผู้อ่านจากบางประเทศอาจจะรู้สึกว่าเข้าไม่ถึง ไม่รู้จัก หรือไม่อิน เนื่องด้วยบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้อ่านที่มีความรู้ความสนใจเรื่องการตลาดและแบรนดิ้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็จะยิ่งอ่านได้เข้าใจและถึงอรรถรสมากขึ้น อีกทั้งยังมีการยิงมุกหรือใส่อารมณ์ขันลงไปอย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำให้ไม่ดูเคร่งเครียดจนเกินไป ส่วนสำนวนการแปลก็ลื่นไหล เข้าใจง่าย เหมาะสมสำหรับผู้อ่านที่อาจจะไม่มีพื้นฐานความรู้สายนี้มาก่อน ไม่มีอะไรที่เป็นสำนวนซับซ้อนชวนงงจนทำให้การตลาดดูเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อ ก็เหมือนอย่างคำโปรยที่ปน้าปกหนังสือนั่นแหละว่า Why We Buy คือหนังสือที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งการช็อปปิ้ง และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังสือเล่มนี้อย่างแรกเลยก็คือการยกตัวอย่างต่างๆของผู้เขียน มันทำให้เราเห็นภาพมากๆ เช่น วิธีคิดในการช็อปปิ้งที่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เวลาผู้หญิงซื้อจะเดินแบบละเลียดชมวิวไปเรื่อยตามรายทาง ส่วนผู้ชายจะพุ่งตรงฉับๆไปยังของที่เขาต้องการเลย เป็นต้น และเขาก็จะชี้ว่าจุดแตกต่างพวกนี้แหละที่มันมีประโยชน์มาก เจ้าของกิจการร้านค้าควรสังเกตให้เห็นและนำเอาไปปรับใช้กับกิจการของตัวเองเพื่อกระตุ้นยอดขายได้ นอกจากนี้ยังมีมุกจิกกัดสไตล์ตลกฝรั่งอีกด้วย ต้องชื่นชมคนแปลเลยนะที่เก็บมุกพวกนี้ได้แทบทุกเม็ดเลยจริงๆ อันนี้พูดได้เต็มปากเพราะอ่านจบแล้วทั้งเวอร์ชั่นแปลไทยและเวอร์ชั่นอังกฤษ แถมอ่านเกิน 5 รอบซะด้วยสิ 

ส่วนตัวก็ได้ใช้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงในการเขียน essay สมัยเรียนต่อด้านการตลาดอยู่หลายต่อหลายครั้งมาก เพราะตัวอย่างที่ปรากฎในหนังสือนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เป็นหนังสือเล่มที่เรามีสถิติยืมบ่อยที่สุดในห้องสมุด Morris Miller เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้มันยังเป็นหนังสือที่เราแนะนำทั้งเพื่อนและคนรู้จักทั้งที่มีธุรกิจอยู่แล้วหรือกำลังริเริ่มที่จะประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ซื้อหามาไว้อ่านเพิ่มพูนความรู้อีกด้วย ขนาดเฮียมั่นแห่งเวบมั่นคงแก็ดเจ็ดเราก็ยังแนะนำแกมาแล้วเลย และเฮียก็เชื่อซะด้วยสิ (เฮียลงรูปแคปเชอร์การสั่งซื้อให้ดูสดๆเลย) เราเชื่อมั่นเป็นอย่างมากเลยว่า Why We Buy จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีให้กับทุกๆคนที่เราเคยแนะนำไป อย่างน้อยๆมันก็จะทำให้สังเกตและฉุกคิดถึงพฤติกรรมการซื้อและไม่ซื้อของลูกค้าตัวเองบ้างแหละน่า และแม้ว่าคุณจะไม่ใช่นักเรียนการตลาดและไม่คิดที่จะทำธุรกิจส่วนตัวอะไรใดๆทั้งสิ้นในชีวิตนี้ เราก็ยังเห็นว่าคุณก็สมควรที่จะได้อ่านมันอยู่ดี เพราะอย่างน้อยๆมันก็จะช่วยให้คุณได้รู้ว่าทุกวันนี้นักขายและนักการตลาดได้ทำอะไรเพื่อล่อลวงให้คุณซื้อนั่นซื้อนี่โดยไม่จำเป็นบ้างหรือเปล่า

ป.ล. จะว่าไปแล้ว Why We Buy เป็นหนังสือเล่มที่เราอ่านมากรอบที่สุดในชีวิตเลยมั้ง

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานทุกเล่มของ วิทวัส ชัยปาณี




Saturday, 27 December 2014

เราจะข้ามเวลามาพบกัน

เราไม่ใช่คนที่อ่านนิยายบ่อยนักเมื่อสมัยเด็กและวัยรุ่น อาจจะเป็นเพราะไม่มีผู้ใหญ่ในบ้านคนไหนที่ติดนิยายแบบงอมแงมก็เป็นได้ เราเลยมีตัวเลือกให้อ่านน้อย แต่เนื้อเรื่องย่อของนิยายแนวคู่รักข้ามชาติข้ามพบเรื่องนี้ที่เราอ่านเจอจากนิตยสารปอปเล่มโปรดทำให้เราต้องรีบหาซื้อมาไว้ในครอบครองอย่างเร็วไว

                                                            Source

เราจะข้ามเวลามาพบกันเป็นผลงานเล่มที่สองของ Dr. Brian L. Weiss จิตแพทย์ที่มีความสามารถด้านการสะกดจิตระลึกชาติ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Only Love Is Real ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยดีเจชื่อดังคนหนึ่งสำหรับวัยรุ่นยุค 90 อย่างเราคือพี่โจ มณฑานี ตันติสุข (ไม่รู้ว่าตอนนี้แกไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วนะ ใครรู้ช่วยบอกด้วยค่ะ) และฉบับที่เราซื้อไว้เป็นผลงานพิมพ์ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้าค่ะ โดยส่วนตัวถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้อ่านนิยายมากเท่าไหร่ แต่พล็อตที่เกี่ยวกับความรักที่ผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติไม่ว่าจะมาในรูปแบบของหนัง ละคร หรือแม้แต่นิยายก็มักจะดึงดูความสนใจของเราได้เสมอ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเรารู้ว่าผู้แต่งนั้นเป็นถึงจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาด้วยการสะกดจิต ก็ทำให้ยิ่งเพิ่งความน่าเชื่อถือมากขึ้นค่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหนังสือมันคือเรื่องจริง

เนื้อเรื่องก็มีอยู่ว่า อลิซเบธและเปโดร หนุ่มสาวสองคนที่เป็น เอ่อออ เราไม่แน่ใจว่าการที่คนเราไปหาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดชั่วครั้งชั่วคราวจะต้องเรียกว่าคนไข้หรือเปล่าเพราะยังไม่ใช่คนที่เป็นจิตเภทเต็มตัวแบบนอนประจำที่โรงพยาบาลอะไรอย่างนั้น หรือจะเรียกลูกค้าดี เอาเป็นว่าคุณด๊อกเตอร์แกรักษาสองคนนี้ด้วยวิธีสะกดจิตนั่นละค่ะ เป็นการสะกดจิตเพื่อให้ย้อนอดีตไปยังเรื่องเก่าๆของตัวเอง ใช้ข้อมูลตรงนี้มาบำบัดและแก้ปัญหาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบๆตัวค่ะ สะกดกันไปมา ดันย้อนไปในชาติที่แล้วเข้าซะอย่างนั้น ย้อนไปย้อนมา ด็อกเตอร์สังเกตว่าเนื้อเรื่องในชาติภพต่างๆของคนทั้งคู่มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างน่าตกใจ เรื่องราวความเป็นไปของทั้งเปโดรและอลิซเบธจะเป็นอย่างไรก็คงต้องไปติดตามลุ้นกันเองแล้วละค่ะ แต่เราบอกได้เลยว่าพี่โจแปลได้ดีมาก มีหลายช่วงหลายตอนที่ทำเราน้ำตาไหลชนิดเขื่อนแตก คือเราไม่เคยอ่านนิยายรักแล้วเสียน้ำตามาก่อนเลยค่ะ เป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยจริงๆนะ เราไม่แน่ใจนะคะว่าพี่เขามีผลงานแปลออกมาก่อนหน้านี้เยอะแค่ไหน แต่เราได้อ่านเล่มนี้เป็นเล่มแรกและเล่มเดียว ขอยืนยันว่าเป็นงานแปลที่ดีจริงๆค่ะ 

นอกจากนี้ยังมีภาคผนวกในด้านหลัง ที่เราเอาข้อคิดหรือคำคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชาติภพ ชีวิตหลังความตาย การระลึกชาติ หรืออะไรที่เกี่ยวข้อของนักคิดและนักปรัชญาระดับโลกเอาไว้มากมาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งอินกับเรื่องชาติภพมากเลยค่ะ หลังจากที่อ่านจบแล้วรู้ซึ้งเลยว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงติดอันดับนิยายขายดีในบ้านเราประจำปีนั้นน่ะค่ะ คนชอบกันเยอะมากจริงๆ พิมพ์ออกมามากมายหลายสิบรอบ เปลี่ยนปกก็หลายที เท่าที่เราจำได้ก็มีแบบที่เราซื้อ (ตามรูปด้านบนเลย) กับอย่างน้อยอีก 4 แบบปกค่ะ แต่ทุกวันนี้กลับแทบไม่เห็นวางขายที่ไหนอีกเลย น่าแปลกใจเหมือนกันนะคะ

อ่านอะไรต่อดี >> ผลงานเล่มอื่นๆของ Dr. Brian L. Weiss



Monday, 1 December 2014

November 2014 | Book Haul

สำหรับเดือนที่ผ่านมานี้เราก็ได้เสียเงินไปกับหนังสืออีกแล้วค่ะ รวมแล้วเป็นเงินจำนวนไม่มากไม่น้อย แต่ได้หนังสือมาแค่ 4 เล่ม เพราะว่ามีเล่มนึงที่เป็นหนังสือเล่มใหญ่ราคาสูงนิดนึงน่ะค่ะ นอกนั้นจะเป็นหนังสือที่เราได้มาจาก library sales ของห้องสมุด Neilson Hays ค่ะ เอาละ อย่าให้เสียเวลาไปกว่านี้เลย มาไล่ดูไปแต่ละเล่มเลยดีกว่านะ

1. The Devil Wears Prada - Lauren Weisberger


นิยายเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังอันโด่งดังค่ะ ความจริงฉบับแปลไทยก็มีขายอยู่นะ มีมาหลายปีแล้วในบ้านเรา แต่เราไม่เคยอ่านค่ะ ด้วยความดังของมันเราคงไม่ต้องเล่าเรื่องย่อละเนอะ ส่วนตัวเคยดูแต่หนังค่ะ ก็ประทับใจประมาณนึง ถึงเล่มนี้จะไม่ใช่หนังสือที่คิดว่าจะต้องหามาอ่านให้ได้ แต่พอเจอว่าราคาแค่ 20 บาท ก็หยิบมาถือโดยไม่ต้องคิดเลยละค่ะ 

2. The Bhagavadgita


จัดว่าเป็นบทประพันธ์ที่โด่งดังจนเป็นสัญลักษณ์ของอินเดียเลยก็ว่าได้นะ จริงๆเล่มนี้ยืมเบบี๋อ่านได้เลยแหละเพราะเขามีเยอะหลายเวอร์ชั่น แต่เวอร์ชั่นนี้ของ Wordsworth Classics มันแค่ 20 บาทเองง่ะ เลยไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่ซื้อไว้น่ะค่ะ 

3. Many Lives, Many Masters - Dr. Brian Weiss


จำนิยายที่ชื่อว่า "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" ได้มั้ยคะ นั่นละค่ะ หนังสือเล่มนี้เป้นผลงานจากผู้แต่งคนเดียวกันนี้แหละ เราเคยอ่านเราจะข้ามเวลามาพบกันสมัยอายุ 15 เป็นผลงานแปลของคุณโจ มณฑานี ตอนนั้นอินกับเรื่องความรักข้ามชาติภพมากค่ะ รู้ว่าผู้แต่งมีผลงานเล่มนี้ก็เฝ้ารอเรื่อยมาที่จะได้อ่าน เมื่อมาป๊ะเข้าแล้วในราคา 50 บาทแบบนี้ มีเหรอจะปล่อยไปง่ายๆ รีบหยิบมาไว้ในอ้อมแขนโดยพลันจ้า

4. Light on Yoga/ประทีปแห่งโยคะ - B.K.S. Iyengar แปลไทยโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์


เนืื่องจากช่วงนี้เราตัดสินใจที่จะกลับมาฝึกโยคะอย่างจริงจังอีกครั้ง เป็นเหตุให้ซื้อหนังสือเล่มนี้มาค่ะ สำหรับเราหนังสือประทีปแห่งโยคะเป็นหนังสือรวบรวมการฝึกโยคะที่ดีที่สุดเล่มนึงเลยค่ะ เพราะมันครบถ้วนทั้งภาพประกอบ คำอธิบายอาสนะต่างๆ อีกทั้งขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับฝึกโยคะและการฝึกปราณายามะด้วย ที่สำคัญเป็นหนังสือที่เข้าถึงจิตวิญญาณโยคะแบบอินเดียแท้ๆค่ะ ไม่เหมือนหนังสือโยคะอื่นๆในบ้านเราที่ดูจะเน้นไปในทางเพื่อหุ่นสวยเสียมากกว่า ความจริงก็เคยอ่านมาบ้างค่ะแต่เราไม่ค่อยชอบแบบนั้นเพราะว่ามันดูผิวเผินเกินไป ส่วนตัวชอบศึกษาเรื่องอะไรก็ตามจากผู้เขียนที่มาจากประเทศต้นตำรับของศาสตร์นั้นๆมากกว่า เลยเลือกผลงานของ guruji มาอ่านค่ะ ซื้อมาในราคา 480 บาท ด้วยความหนา 600 กว่าหน้า คุ้มค่าจริงๆค่ะ

ก็คงจะมีเพียง 4 เล่มนี้ละค่ะสำหรับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านไป ส่วนตัวคิดว่าเดือนนี้คงไม่น่าจะซื้ออะไรเกินกว่า 2 เล่มแล้วละมั้ง และถ้าซื้อก็คงจะเป็นหนังสือเก่ามากกว่าค่ะ ยังไงไว้มาติดตามกันว่าจะเป็นยังไงเนอะ จะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าค่อยมาดูกันค่ะ


Wednesday, 5 November 2014

I Roam Alone


ถ้าจะมีใครสักคนมาถามเราว่าในชีวิตนี้ใครคือมนุษย์ที่เราอิจฉาที่สุดในโลก เราขอตอบแบบไม่ลังเลเลยว่าคนผู้นั้นคือ มินท์ หรือ มณฑล กสานติกุล นักเดินทางสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์สาวคนหนึ่งของไทยนั่นเอง และเราเชื่อว่าสาวๆหรือแม้แต่หนุ่มๆหลายคนที่หลงรักการเดินทางแบบแบกเป้ก็คงจะเคยนึกอิจฉาเธออยู่ครามครันเป็นแน่ 


ส่วนตัวเราต้องยอมรับว่าบาดใจทุกครั้งที่ได้รู้เรื่องราวของเธอ ไม่ว่าเธอจะอัพบล็อกตอนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอได้ไปถ่ายทำรายการร่วมกับทีมงานฅนค้นฅน เราก็ไม่ค่อยอยากจะติดตามสักเท่าไหร่ นิสัยไม่ดีเลยเรา ยอมรับกันตรงๆ เพราะยิ่งดูก็ยิ่งให้อิจฉาชะตาชีวิตของเธอที่มีโอกาสเดินทางมากมายเสียจัง รวมทั้งมีครอบครัวที่ใจกว้าง ปล่อยให้ลูกสาววัย 20 กลางๆได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างอย่างเต็มใจ ดังนั้นเมื่อสำนักพิมพ์บันลือได้ตีพิมพ์หนังสือบันทึกประสบการณ์ในการเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียของเธอนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะหามาไว้ในครอบครอง

ใน I Roam Alone เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นตอนสั้นๆ มีมากมายเกินกว่า 50 ตอนด้วยกัน ตอนนึงมีขนาดไม่ยาวมาก ถ้อยคำที่เธอเลือกใช้ก็กระชับ แต่สามารถสื่อความได้ดี เลยไปจนถึงกินใจสุดๆในหลายครั้ง และแน่นอนว่าภาพประกอบก็สวยมากเช่นเดียวกัน อีกจุดนึงที่ต้องให้เครดิตอย่างมากเลยก็คือทีมงานที่จัดหน้าหนังสือ เขารู้จักเลือกจังหวะการเว้นวรรคและจัดสเปซต่างๆได้อย่างเหมาะสม ทำให้การอ่านมีอรรถรสขึ้นอีกมาก ต้องขอชมเชยไว้ ณ ที่นี้ด้วยใจจริง ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้อ่านไปก็อิจฉาตาร้อนผ่าวไปตามทุกหน้าที่เปิดอ่าน

สาเหตุที่ซื้อมาไม่ใช่เฉพาะความรักและหลงใหลในการเดินทางสไตล์แบกเป้ของเราอย่างเดียว หากแต่อยากจะนำไปให้มารดาของเราได้อ่านด้วย จะได้เรียนรู้ว่าความฝันของเราเป็นอย่างไร ให้ได้เห็นว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวที่ก็เป็นคนไทยเหมือนกันกับเราก็สามารถออกเดินทางคนเดียวได้ และจะได้เห็นถึงทัศนคติของมารดาผู้เขียน (แม้แต่อาม่า) ด้วยว่าทำไมเขาถึงใจกว้างกับลูกสาวเขานัก ก็ได้แต่หวังว่ามารดาของเราคงคิดได้แบบมารดาผู้เขียนในเร็ววันนี้ (ความจริงตอนแรกพิมพ์ไปว่า "ในสักวัน" แต่เห็นท่าจะไม่ดี "ในสักวัน" นี่มันวันไหนวะ ถ้าวันที่เรา 40 ไปแล้วนี่ไม่โอเคนะ เลยเปลี่ยนเป็น "ในเร็ววัน" แทน) ไม่ว่าหนุ่มสาวคนไหนที่มีความฝันอันเดียวกันกับมินท์หรือแม้แต่ฉัน แต่กลับมีอุปสรรคคือคนทางบ้าน อยากให้ลองหาหนังสือเล่มนี้และนำไปแบ่งปันให้พวกเขาได้อ่าน จะได้เป็นการเปิดโลกของผู้ใหญ่ขึ้นอีกทาง ..... เฮ้ยพอเถอะ เราว่าเราไม่ใช่คนติดพูดจาแนวสวยหวานหน่อมแน้มอะไร ว่ากันตรงๆคือ เอาไปให้พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่ขัดขวางความฝันของการเดินทางรอบโลกอ่านซะ จะได้เปิดหูเปิดตาดูว่าคนเขาทำกันทั้งบางไม่เห็นเป็นไร ให้ดูบ้างว่าพ่อแม่คนอื่นเขาสนับสนุนความฝันของลูกหลานกันยังไง อย่ามัวมากลัวโลกนี้อยู่เลย โลกเรามันไม่ได้มีอันตรายเกินไปกว่าที่คนเราจะใช้ชีวิตรอดหรอก ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้ชายนี่ยิ่งต้องเอาให้อ่านเลยนะ คิดดูสิว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวอย่างมินท์ยังรอดมาได้ (ความจริงเธอสูงถึง 173 ก็ไม่เล็กเลยนะ สูงกว่าพ่อเราเสียอีก) แล้วที่บ้านจะกลัวอะไรนัก ถ้าผู้หญิงคนนึงทำได้ คุณก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงอะไรเลย ..... เฮ้ออ รู้สึกเหมือนได้ระบายความอึดอัดใจไปชุดใหญ่เลยแฮะ


อ่านอะไรต่อดี >>  หนังสือประสบการณ์ท่องเที่ยวของกรกฎ พัลลภรักษา, พลอย มัลลิกะมาศ, กาญจนา หงษ์ทอง และ เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย




Monday, 3 November 2014

October 2014 | Book Haul

เมื่อต้นเดือนแวะเวียนมาบรรจบเราก็จะได้พบกัน book haul กันอีกครา แหม่ สำนวนฟังดูโบราณดีจัง สำหรับเดือนตุลาฯที่เพิ่งผ่านพ้นมาหมาดๆนี้ก็เรียกได้ว่าโชกโชนกันพอสมควรค่ะ มีหนังสือทะลุหลักสิบอีกแล้ว แต่ก็อนุโลมเพราะว่ามันเป็นเดือนของงานหนังสือพอดี ถ้ามีไม่ถึงน่ะสิแปลก อย่ามัวพูดพล่ามทำเพลงค่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

1. The Joy Luck Club - Amy Tan


สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายชื่อดังของ Amy Tan ที่เคยเอาไปทำหนังด้วยค่ะ เรื่องราวจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแม่ลูกชาวจีน น่าจะ 4 คู่มั้งถ้าจำไม่ผิด ทั้งหมดเป็นคนจีนที่ได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกาค่ะ สะท้อนความคิดความเชื่อระหว่างคนสองรุ่นได้ดีทีเดียว เล่มนี้จัดมาที่ราคา 70 บาทจาก Dasa ค่ะ สภาพก็เก่านิดหน่อย มีรอยแตกที่สันเล็กน้อย มีคราบๆตามขอบด้วย แต่เราไม่ค่อยถือเท่าไหร่ ไม่มาแบบแหลกๆรุ่งริ่งหรือมีรอยย่นเปื่อยจากน้ำก็โอเคแล้วค่ะ

2. Dolce c Salata - Marlena de Blasi


ช่วงที่ได้เล่มนี้มาเนี่ยเรากำลังฮิตหนังสือแนวการใช้ชีวิตในชนบทของประเทศแถบยุโรปค่ะ ทำไร่ ทำสวน ทำอาหาร บรรยากาศมันจะอบอุ่นนวลๆดี อย่างเล่มนี้เป็นเรื่องของเชฟสาวใหญ่กับสามีที่ย้ายจากเวนิสไปยังเมืองเล็กๆแถบทัสคานีค่ะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารอิตาเลียนแบบท้องถิ่น อ่านแล้วหิวเลยละค่ะ ตอนนี้อ่านบทแรกยังไม่จบดีค่ะ ยังค้างเติ่งมาจนถึงทุกวันนี้ แต่อ่านแค่นั้นแล้วอยากไปเที่ยวเลยนะ ที่ฟินคือได้มาถูกมา 49 บาทเองค่ะ เจอที่กระบะ blow-out หน้าร้าน Dasa ค่ะ เห็นปกลายลูกแพร์สะดุดตา เลยหยิบมาอ่านเรื่องย่อคร่าวๆดู โดนเลยค่ะ รีบคว้ามาถือเลยทีเดียว

3. The God of Small Things - Arundhati Roy


เล่มนี้หมายมั่นปั้นมือมาหลายเดือนแล้วค่ะ ได้รางวัลการันตีด้วย เพราะฉะนั้นพลาดไม่ได้ เนื้อหาว่าด้วยเด็กฝาแฝดชายหญิงชาวอินเดียที่เติบโตมาในรูปแบบที่ต่างกันค่ะ น่าจะประมาณนี้นะ สะท้อนค่านิยมสมัยเก่าและสมัยใหม่ได้ดีทีเดียว ราคาแพงนิดนึงที่ 170 ค่ะ มาจาก Dasa เช่นเคย แต่อย่างว่าเป็นหนังสือที่ดีจริงๆ ถึงจะอ่านไปแค่ไม่กี่บทก็รู้เลยว่าดีมากๆ ด้วยราคานี้เลยไม่ถือว่าแพงเกินไปค่ะ สภาพก็ยังดี๊ดีด้วยนะ

4. Rasputin - Maria Rasputin and Patte Barham


เล่มนี้ได้มาจากเพื่อนชาวอินเดียค่ะ เรามีร้านขายเสื้อเลยส่งเสื้อไปแลกกับหนังสือมาละ เขาบอกว่าเป็นประวัติของราสปูตินที่ลูกสาวเขียนร่วมกับผู้รวบรวมทางประวัติศาสตร์อีกคนค่ะ เราเองปกติไม่ชอบอ่านอะไรแนวประวัติศาสตร์เท่าไหร่เลยนะ แต่กลับชอบอยากรู้เรื่องของราสปูตินมากเลยแหละ ดูลึกลับปนหลอนๆดีค่ะ รู้สึกเขามีเสน่ห์แบบหลอนๆบอกไม่ถูกค่ะ

5. Five Point Someone - Chetan Bhagat'


นี่ก็แลกมาเหมือนกันค่ะ สำหรับผู้แต่งเล่มนี้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนนึงของอินเดีย อาจจะไม่ใช่ big name มากนักแต่ก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมค่ะ ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรนะ เพราะเขาไม่ได้บอกไว้และเราก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยค่ะ

6. Kashmir If You Can - แพร ฉัตรพร


สาวคนนี้ดังมาจากพันทิปก็ว่าได้ กับการทำ travel journal ของเธอค่ะ เล่มนี้บวกกับความเป็นอินเดียด้วยแล้วยังไงเราก็ไม่พลาดที่จะซื้อไว้ เรียกหยิบมาถือเลยโดยไม่ต้องคิดเปิดอ่านก่อนเลยแหละค่ะ เล่มนี้ 170 บาทค่ะ ซื้อมาจากบูธของแซลมอน

7. I Roam Alone - มินท์


หนังสือรวมประสบการณ์การเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียของผู้หญิงที่เราอิจฉาที่สุดในโลกค่ะ ซื้อมาก็ปวดใจไปเพราะอยากเกิดเป็นคนๆนี้มากเลย ฮ่าๆ อยากมีชีวิตแบบนี้บ้างจัง ลดเหลือ 245 บาทหรือไงละ ลืมแล้ว จากแซลมอนเหมือนกันค่ะ อ่านจบไปเมื่อวานนี้เอง รูปสวย เนื้อหาใช้ได้ และขอย้ำอีกว่าอิจฉามาก



เล่มนี้เจอมาจากรุ่นน้องคนนึงแนะนำไว้ในกระทู้ abaw นี่ละค่ะ คนเขียนไปเป็นอาสาสมัครในการสร้างโรงเรียนในเมืองบ้านนอกที่อินเดีย ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวการไปท่องเที่ยวโดยตรง แต่ถ้าเห็นเป็นอินเดียเราต้องคว้าไว้ก่อนละค่ะ ได้มาที่ 143 บาทจากบูธอมรินทร์ เพิ่งจะเขียนรีวิวไปเอง ลองดูได้ค่ะ 

9. รากฐานชีวิตคริสเตียน - ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์


เป็นหนังสือที่สอนพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนค่ะ เหมือนจะเป็นแบบฝึกหัดด้วยกลายๆ เหมาะสำหรับคริสเตียนใหม่ค่ะ เล่มนี้หลังปกเขียนไว้ว่า 85 บาท แต่ได้ลด 50% แน่ะ เหลือแค่ 43 บาทเองละ คุ้มจริงๆ จากร้านปัญญาจารย์ แอบงงว่าทำไมสมาคมพระคริสตธรรมไทยเวลาไปออกบูธถึงใช้ชื่อว่าร้านปัญญาจารย์ก็ไม่รู้นะ 

10. The Middle Message - V.S. Naipaul


เราเล็งหนังสือของนักเขียนคนนี้มานานแล้ว เจอที่ Dasa ก็หลายเล่มแต่ไม่ได้ฤกษ์ซื้อสักที มาได้เอาที่ร้านมือสองในงานหนังสือนี่ละค่ะ ราคา 60 บาทเองนะ ถูกไม่น่าเชื่อ สภาพไม่โทรมมากด้วยค่ะ เสียดายจำชื่อร้านไม่ได้เลย

11. I Know Why Caged Bird Sings - Maya Angelou


ความจริงเล่มนี้เรามีแล้วนะ แต่มาเจออยู่กองเดียวกับเล่มบน วางไว้แทบติดกันเลยแหละ เราเลยถามเขาว่าเท่าไหร่ เขาบอกว่า "ให้พี่ 60 เท่าเล่มตะกี้ละกัน" เจอลูกนี้เข้าไป ใจอ่อนเลยค่ะ มีแล้วก็มีวะ เอามาอีกละกัน ดีนะเบบี๋ไม่สังเกตเห็นว่าซื้อมาซ้ำน่ะ

รวมยอดทั้งหมดที่ 11 เล่มจ้าสำหรับเดือนตุลาฯนี้ ส่วนในเดือนนี้ตั้งใจว่าอาจจะหาอะไรสักเล่มสองเล่มให้เป็นของขวัญตัวเองในวันเกิดค่ะ เล็งๆเอาไว้ว่าจะเป็นหนังสือพวกที่ขึ้น top chart ของร้าน Bookmoby หรืออะไรทำนองนั้นแหละค่ะ แต่อย่างอื่นคงไม่ซื้อแล้วค่ะ ตอนนี้หยุดเข้าเช็คสต็อกของ Dasa มาได้ร่วม 2 อาทิตย์แล้ว ดีใจมาก ไม่มีตัวกระตุ้นกิเลส ยังไงเอาไว้มาดูกันต้นเดือนหน้าเนอะว่าจะได้อะไรมาเพิ่มบ้าง



Saturday, 1 November 2014

ติ่ง

หากฟังจากชื่อแล้วคงไม่แปลกที่จะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเชิงเอนเตอร์เทนหรือจิกกัดสังคมไทยแบบขำขัน เพราะว่าในยุคนี้คำว่าติ่งมีความหมายไปในเชิงจิกกัดและล้อเลียนพฤติกรรมของผู้หญิงบางกลุ่มในสังคมไทยเรา แต่ไม่ใช่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจริงๆแล้ว ติ่ง เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดถึงมุมมองของผู้เขียนอย่างปริตตาที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตเป็นอาสาสมัครอยู่ในเมืองบ้านนอกของอินเดียเป็นเวลาพอสมควร


รีบสรุปความดีงามของหนังสือเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ ว่ามันเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดมุมมองความคิดที่ค่อนข้างแยบคายและมองโลกมุมบวกได้ดีทีเดียวสำหรับผู้เขียนที่มีอายุ 20 กลางๆในสมัยนี้ ไม่ใช่ว่าจะดูถูกอะไรผู้เขียนนะ แต่บ้านเราสมัยนี้หาคนที่มีความคิดลึกซึ้งคมคายได้น้อยลงทุกวัน ขนาดคนวัย 40 กว่าแต่ยังคิดและเล่นอะไรแบบไม่ได้สาระก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ด้วยมุมมองอันแยบคายและน่าสนใจของผู้เขียน เราเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณรักมันอย่างไม่ยากเลย แต่ต้องขอติสำนักพิมพ์ Springbooks เล็กน้อยที่ยังปรูฟงานไม่แม่น มีคำที่สะกดแบบและลืมเปลี่ยนภาษาโผล่มาให้เห็น 2-3 จุด

ย่อหน้าข้างบนนี้เป็นเหมือนบทวิจารณ์หรือจะเรียกว่าติชมก็ได้ที่เรามีถึงตัวหนังสือจริงๆ ข้อดีก็คือมุมมองชีวิตของผู้เขียน ข้อเสียอยู่ที่การตรวจปรูฟตัวสะกด ง่ายๆแค่นั้นแหละ แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้เป็นความรู้สึกจริงๆที่เรามีต่อเนื้อหาเรื่องเล่าของผู้เขียน

ในเนื้อหาตั้งแต่ช่วงกลางเล่มเป็นต้นไปที่ผู้เขียนเล่าถึงวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมมันทำให้เราหงุดหงิดเอามากๆเลย พ่อแม่ทำเหมือนลูกสาวเป็นสินค้า จับแต่งงานกับใครก็ต้องไป เพราะขี้เกียจเลี้ยง แต่งงานออกไปซะคนในบ้านก็ลดลงไปคนนึง ไม่ต้องแย่งกันกินกันใช้ ตัวลูกๆเองไม่ว่าจะหญิงจะชายก็ฟังคำสั่งพ่อแม่แบบซ้ายหันขวาหันโดยไม่ปริปากบ่น เกิดมาชาตินึงไม่มีสิทธิ์เลือกเส้นทางดำเนินชีวิตของตัวเอง ไม่แม้แต่จะคิดว่าอยากเลือกเองด้วยซ้ำ เหมือนใช้ชีวิตเป็นหุ่นกันไปวันๆ พ่อแม่จะเชิดไปทางไหนก็เอา เหมือนไม่มีสมองไม่มีหัวจิตหัวใจเลย เรารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตที่ต้องสาป ถ้าต้องให้เรามีชีวิตแบบนี้เราขอตายดีกว่า ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อ่านแล้วบอกตรงๆว่าหงุดหงิดมาก ในหัวนึกขึ้นมาอย่างร้ายกาจว่าอยากจับมนุษย์โลกที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมจัดไปรมแก๊สตายให้หมดท่าจะดี เพราะขัดขวางความเจริญของโลกมากๆ ไม่มีคนพวกนี้ประชากรโลกส่วนนึงคงมีความสุขขึ้นเยอะ

ด้วยความที่หนังสือมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ว่าถึงเรื่องความเป็นอนุรักษ์นิยมที่น่าอึดอัดใจ เราเลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่แอนตี้ระบบความคิดแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะอ่านแล้วจะทำให้หงุดหงิดและโกรธมากเลยทีเดียว มิไยที่ผู้เขียนจะย้ำนักย้ำหนาว่าเราไม่ควรเอาวัฒนธรรมตัวเองไปตัดสินวัฒนธรรมของคนอื่น แต่ความเป็นจริงของเนื้อเรื่องจะทำให้คิดตลอดว่ามันคือวัฒนธรรมที่เลวร้ายและสำควรเป็นอย่างมากที่จะต้องกำจัดทิ้งให้ไปเสียจากโลกนี้ ถึงแม้เนื้อหาจะเป็นมุมบวกและได้ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต แต่อิสระชนที่เกลียดการบังคับคงจะต้องอึดอัดใจกับเนื้อหาหลายบทหลายตอนทีเดียว ก็เอาเป็นว่าพิจารณากันเอาเองนะว่าจะลองเสี่ยงดีหรือไม่


อ่านอะไรต่อดี >> ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะยังไม่เคยเจอหนังสือเล่มไหนที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงเล่มนี้มาก่อน



Friday, 3 October 2014

September 2014 | Book Haul

สารภาพตามตรงว่าตอนแรกคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำ book haul ประจำเดือนกันยายนแล้วซะอีก เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ซื้อหนังสือใหม่อะไรเลยจริงๆ มันเริ่มจากไปสัญญิงสัญญากับเบบี๋ว่าต่อนี้ไปจะอ่านแต่หนังสือดีๆอย่างเดียวแล้ว จะงดเว้นการซื้อนิยายที่อ่านเอาฟินไปวันๆแล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะไม่ได้เสียเงินซื้ออะไร ปรากฎผิดคาดมากที่ช่วงปลายเดือนร้าน Dasa เจ้าประจำอัพเดทลิสท์หนังสือใหม่ประจำวัน มีหนังสือที่โดนใจอยู่หลายเล่มด้วยกันและยังมีเซลล์ต้อนรับหน้าฝนอีก จึงทำให้เกิด book haul ขึ้นมาได้ในที่สุดค่ะ เอาละ ไม่ให้เสียเวลาก็เริ่มกันเลยแล้วกันเนอะ


1. The Catcher in the Rye - J.D. Salinger

ความจริงเห็นหนังสือเล่มนี้ติดในลิสท์คลาสสิคที่ต้องอ่านมาก็นานนม แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เคยได้ยินเบบี๋บอกว่าหนังสือเล่มนี้ดีนะ อ่านสิ แต่ก็ยังเฉยๆไม่ได้รู้สึกกระตุ้นอะไร จนวันนึงลองหาข้อมูลดู ไปเจอใครสักคนเขียนไว้ในพันทิปว่านี่คือหนังสือที่มือปืนที่ลอบสังหาร John Lennon อ่านก่อนจะออกไปลอบสังหาร เท่านั้นแหละ ตาเบิกโพลงเลย หนังสือที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่นี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ และเราจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด ได้มาในสภาพเหมือนใหม่ที่ราคา 120 บาทค่ะ คุ้มมากๆ


2. The Five People You Meet in Heaven - Mitch Albom

เป็นอีกเล่มที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่ซื้อเพราะว่าเราได้เห็นผลงานอีกเล่มของเขาบ่อยๆคือ The First Phone Call from Heaven บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงซื้อ แต่เข้าไปดูเรทติ้งใน Goodreads แล้วเชื่อมั่นว่าจะต้องดีแน่ เลยสอยมาแบบง่ายๆงงๆที่ราคา 90 บาทค่ะ สภาพก็ดีีอีกแล้ว 


3. On the Road - Jack Kerouac

เล่มนี้ถือว่าซื้อแบบมีข้อมูลที่ชัดเจนค่ะ เจอจากกระทู้เห่อของตัวเองในพันทิปนี่แหละ มีคนมาเห่อเอาไว้ พอถามรายละเอียดถึงรู้ว่าเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวของเพื่อนกลุ่มนึงในอเมริกา และเคยทำเป็นหนังมาก่อนด้วย ก็เลยทำให้อยากอ่านค่ะ เสียดายว่าไม่ใช่หน้าปกที่ชอบ แต่สภาพยังดีอยู่มากๆค่ะ ราคา 150 บาทสำหรับเล่มนี้

และเดือนนี้ก็ทำสถิติแค่ 3 เล่มค่ะ มือสองทั้งหมด ถือว่าไม่มากไม่น้อยเกินไปนะคะ ซื้อมากๆคงไม่ไหวเพราะปลายเดือนนี้ยังต้องเก็บงบไปงานหนังสืออีก แล้วหลังจากที่ไปช็อปงานหนังสือก็คงจะได้เอามาเห่อให้ชมกันค่ะ


Thursday, 2 October 2014

10 Books Challenge for ABAW

ช่วงเดือนที่ผ่านมากระแส challenge กำลังมาแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้าค่ะ ทั้ง ice bucket หรือ rice bucket และอีกกระแสที่มาแรงใน Facebook ก็คือ challenge เกี่ยวกับหนังสือ หนัง และเพลงที่ชอบ ซึ่งเราเองก็ไม่วายที่จะโดนแท็กมาอยู่ดีค่ะ จากเบบี๋ของเรานั่นเอง และหนังสือโปรด 10 เล่มในลิสท์ของเราจะมีอะไรบ้างก็ต้องตามตามชมกันเลยค่ะ


1. Totto-Chan: The Little Girl at the Window - Tetsuko Kuroyanagi
This is my very first YA book I read. My mum likes this book so much and she recommended it to me since I was 6. It's about a little girl named Tetsuko-chan who was studying in an elementary school during World War II. She couldn't pronounce her name properly. All she could say is Totto-chan. She is so naive and sweet, sometimes annoying. Her friends from school and her headmaster are so adorable too. That's why this book became my all time favourite Japanese novel.


2. Shanghai Baby - Wei Hui
The book has been released in Thai version on the year 2002. It's about a girl named Nikki. She always wanted to be famous as a writer. She lived her live with passion and lust in conservative family and Chinese society. This novel is banned in China yet it's a bestseller in many countries. I read it when I was only 17 and love it so badly.


3. Odd Girl Out - Rachel Simmons
This book is about girls bullying. I grew up with the thought that I don't like to be friend with girl while I'm a girl obviously. Then I found this book in the year 2004 if I'm not mistaken. It's good for every girl who wants to figure out her own emotional and causes in girlfriend relationship. Even boys or men can read it to understand girls' culture better.


4. The Broken Wings - Khalil Gibran
Khall Gibran describes his love for Selma Karamy that against the taboo of Lebanese society. I read in Thai version and it's super heartbroken. I don't know if this book is too mature for me because I read it since I was only 14. I read it again when I was 27 and I think I could understand it a lot better.


5. Only Love Is Real - Dr. Brian L. Weiss
To make it simple; it's all about the soulmates reunited. Dr.Weiss is kind of a psychiatrist who can hypnotise his client. Once he hypnotised two of his client, the truth has been revealed. I think it's romantic and stunning.


6. Why We Buy - Paco Underhill
As I was a marketing student once and so into branding for a long time, this book is kind of my marketing Bible. If you're in business industry, even just an officer, you should read it once. If you have a plan to sell something or own a shop, you must read it too. Paco makes marketing and branding easy for non-experienced reader. I used this book as a reference for my essay many times.


7. South of the Border, West of the Sun - Haruki Murakami
He's a famous contemporary novelist from Japan and his books are also very popular in Thailand. Back into early 2011, I didn't know how famous in my country he is. Then one of my friend told me that I should read his work and she recommended Norwegian Wood for me. I bought it in English version. After I had read it, I've found that it's so hard to understand. I didn't get the point Murakami wants to say and I haven't finished it up till now. But South of the Border, West of the Sun is different. I could read it in just one sitting. I love it so badly. Most of his works are related to loneliness, sex, cat and jazz bar. It's kind of good combination and becomes his signature.


8. Letters to a Young Poet - Rainer Maria Rilke
He is my inspiration. I know him and his works from a movie, Sister Act 2. If you want to be a writer or a poet, you should read this book and other works of him.


9. Enchantée, Paris - Varinda Alonso
This book is about love story of Thai woman named Ai in Paris and Korean man who is her classmate. This may sound normal or a bit cheesy. It's even more dramatic if you know that both of them are already married. Varinda describes Parisienne lifestyle, architecture, language study system for foreigners so well. It's like she combines her own experience with her novel. Her story is so real. I felt like I was a small insect that stick to Ai's purse or backpack and go around Paris with her. 


10. The Kite Runner - Khaled Hosseini
He is my all time favourite writer. I knew his book from one of my friend who likes to watch indy movie and I like to read Middle Asia literature. I cried a lot when I read his books.

ต้องขอโทษเล็กน้อยที่อัพบล็อกตอนนี้เป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด เนื่องมาจากเขียนให้คนในกรุ๊ป ABAW อ่าน ซึ่งหลายๆคนในนั้นอ่านภาษาไทยไม่ออกรวมทั้งเบบี๋ด้วย ก็เลยร่ายยาวเป็นอังกฤษล้วนด้วยประการฉะนี้แล ยังไงทนอ่านเอาหน่อยแล้วกันนะ ฝึกภาษาๆ อิอิ



Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi