Monday, 30 June 2014

ขอบฟ้าอยู่ใต้ฝ่าเท้า



เราเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่าวัยรุ่นยุค 90 ที่มีใจรักเพลงสากลนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักนิตยสาร POP เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าวัยรุ่นแต่ละคนที่เคยบ้าฟังเพลงฝรั่งแบบเราล้วนแล้วแต่เคยเป็นสาวกปอปกันมาก่อนทั้งนั้นแหละ และเชื่อขนมกินได้เลยว่าเหล่าสาวกทั้งหลายจะไม่พลาดหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน

                                    Source

ขอบฟ้าอยู่ใต้ฝ่าเท้า คือผลงานรวมบทบรรณาธิการจากนิตยสาร POP ที่มีบ.ก.ตี้ หรือที่เราจะรู้จักกันในแบบทางการว่าสุรจักร์ ชัยวรศิลป์ (ณ วันนี้เจ๊ตี้แกเปลี่ยนชื่อใหม่เพราะพริ้งเก๋ไก๋ว่า ธิชา) บทบรรณาธิการที่คัดมารวมเล่มนี้ส่วนมากก็เป็นบทเด่นๆที่พวกเราผ่านตากันมาแล้วทั้งนั้น ทุกครั้งที่เราซื้อปอปมา สิ่งแรกที่เราจะเปิดอ่านก็คือบทบรรณาธิการของเจ๊แกนี่แหละ และเชื่อหรือไม่ว่าเราไม่เคยทำสิ่งเดียวกันนี้กับนิตยสารหัวอื่นเลยจนถึงปัจจุบัน ชื่นชมในความกล้าของบ.ก.ผู้รวมเล่มอย่างวรพจน์ พันธุ์พงษ์ กับพิมพ์บูรพาจริงๆที่ใจกล้าเลือกงานเขียนที่แสนจะผิดแผกผ่าเหล่าในสังคมไทยแบบนี้มาพิมพ์

พูดได้เลยว่าทัศนคติ ความคิดความอ่าน และสไตล์การเขียนของเจ๊แกนั้นเราได้ซึมซับมาแทบจะเรียกว่าทุกอณูเลยทีเดียว เราค้นพบว่าเราชอบเขียนหนังสือก็เพราะเราได้อ่านงานของเจ๊แกนี่แหละ เหมือนกับที่เจ๊แกเขียนไว้ในตอนเป็นในสิ่งที่เราเป็น เจ๊แกบอกว่า .. ฉันชอบหนังสือที่ภาษาสวยและรวยอารมณ์ขัน .. นั่นแหละ เราเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน และถ้าจะไม่เป็นการชมตัวเองเกินไป หลายๆคนที่ได้อ่านบล็อกส่วนตัวหรือบทความของเราหรือแม้แต่การตอบกระทู้บ้าๆบอๆก็ชมว่าเราเป็นคนเขียนสนุกและปากจัดดี

ถ้าจะพูดถึงเรื่องทัศนคติแล้ว เราได้รับการถ่ายทอดมาเต็มๆคล้ายกับไปนั่งอ้าปากให้เจ๊แกถ่ายตะขาบใส่เหมือนละครทายาทอสูรก็มิปาน ไม่ว่าจะเป็นตอนการศึกษาในกะลา อย่ากักขังพลังในตัวเธอ คิดนอกคอก กระทรวงวัฒนธรรม ทุกถ้อยคำทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียง มันล้วนแล้วแต่ตรงกับความคิดเราทุกประการ ก่อนหน้านี้เรารู้สึกอยู่คนเดียวว่าเราคิดอะไรแปลกแยกไปจากคนในสังคมไทยส่วนใหญ่ แต่เมื่อเราได้อ่านบทบรรณาธิการของเจ๊ตี้มากขึ้น เราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ภายใต้ท้องฟ้าของไทยแลนด์แดนสะตอเบอแหลแ่ห่งนี้ยังมีใครบางคนที่คิดอะไรๆเหมือนกับเราอยู่ ความจริงจะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เพียงตอนที่ยกตัวอย่างมานี้เท่านั้นที่มันตรงกับใจ ต้องบอกว่าทุกบททุกตอนก็ยังไม่เกินจริงไปเลยด้วยซ้ำ

มีความรู้สึกมากมายเหลือเกินที่อยากจะพูดอยากจะบอกเพื่อจะสื่อสารว่าเรารักหนังสือเล่มนี้มากแค่ไหน แต่ก็จนด้วยเกล้าที่จะหาคำอะไรมาบรรยายความรู้สึกที่มันท่วมท้นนี้ได้จริงๆ เพราะมันคือหนังสือที่เขียนโดยบุคคลที่เราึยึดถือเป็นไอดอล มันเป็นหนังสือที่ทำให้เราเลิกคิดว่าเราผิดปกติและแปลกแยก และมันคือหนังสือที่ทำให้เรารู้ตัวว่าเรารักการเขียนด้วยภาษาสวยๆและร่ำรวยในอารมณ์ขันมากเพียงใด ถ้าจะพอมีอะไรที่จะใช้เป็นประจักษ์พยานถึงความรักของเราที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ได้ ก็คงเป็นการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลของมันอยากลำบากยากเย็นกว่าจะไปถึงมือเรานั่นแหละ

เรื่องก็มีอยู่ว่าตอนที่เราจัดกระเป๋าเตรียมจะไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น เราหาหนังสือเล่มนี้ไม่เจอ มันอยู่ซอกไหนของบ้านไม่รู้ ก็เลยไม่ได้เอาติดไปด้วย ผ่านไปหลายเดือนกับชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นเคย เราคิดถึงหนังสือเล่มนี้จับใจ เลยบอกแฟน (ณ วันนี้เป็นแฟนเก่าไปแล้ว) ว่าให้ช่วยหาซื้อให้หน่อย จะสั่งจากสำนักพิมพ์โดยตรงหรือหาใครที่ขายมือสองก็ได้ เขาก็จัดการซื้อให้อย่างดิบดี ทีนี้ติดที่การส่งละ เพราะอย่างที่รู้ๆกันว่าส่งพัสดุข้ามประเทศนั้นแพงพอสมควร ด้วยความงกที่มีเราเลยไปตั้งกระทู้ถามในเวบบอร์ดที่เล่นประจำว่าถ้าจะส่งหนังสือสักเล่มไปยังประเทศที่เราอยู่นั้นน่ะมันน่าจะเสียเงินสักกี่มากน้อย แล้วก็เหมือนพระมาโปรด มีคุณพี่สมาชิกท่านนึงที่อยู่รัฐเดียวกับเรากลับไปเยี่ยมญาติที่กรุงเทพฯมาเจอกระทู้เราเข้าพอดี คุณพี่เขาเลยอาสาว่าจะขนมาให้ โดยให้แฟนเราส่งไปรษณีย์แค่เพียงในไทยไปถึงบ้านพี่เขาแถวหนองแขม จากนั้นคุณพี่จะนำติดตัวมาด้วย พอถึงแล้วจะส่งไปรษณีย์ต่อมาให้เรายังเมืองที่เราอยู่ ขั้นตอนทั้งหมดเบ็ดเสร็จนี้ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ เราก็ได้หนังสือสุดรักมาอ่านสมใจ ต้องขอขอบคุณแฟนเก่าและคุณพี่ผู้ใจดีไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

คงจะไม่ผิดนักถ้าเราจะบอกว่าขอบฟ้าอยู่ใต้ฝ่าเท้าและบ.ก.ตี้คือหนังสือและบุคคลที่ทำให้เรามีความคิดในแบบที่เป็นทุกวันนี้ เป็นหนังสือและคนที่ทำให้เราเชื่อมั่นในความเป็นตัวตนและจุดยืนของเรา ทำให้เรารักและภูมิใจกับการเป็นในสิ่งที่เราเป็น

อ่านอะไรต่อดี >>> Letter to Hell by เจ๊เฮลล์


Sunday, 29 June 2014

When God Writes Your Love Story


คุณชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า?


                                                     Source

สำหรับคำถามนี้บางคนอาจจะตอบได้ บางคนอาจจะตอบไม่ได้ หรือบางคนอาจจะยังไม่รู้และไม่แน่ใจ แต่เราขอบอกก่อนเลยว่าวรรณกรรมคริสเตียนเล่มนี้จะช่วยให้คุณหาคำตอบของคำถามนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่คริสเตียนก็ตาม ส่วนตัวเราเองก่อนที่จะมาเป็นคริสเตียนเราก็เคยมีความคิดถึงเรื่องคู่ในทำนองว่าฟ้าจะจัดส่งคนที่เหมาะสมกับเรามาให้นะ มันอาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่เราเชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่ไม่ว่าจะศาสนาอะไรก็ตามคิดเหมือนกับเรานี่แหละ 

When God Writes Your Love Story เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการที่คริสเตียนหนุ่มสาวจะต้องมอบความไว้วางใจในพระเจ้า และเชื่อมั่นในแผนการที่พระองค์จะทรงจัดสรร "คู่พระพร" ให้กับเรา โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไปในวังวนของการรักเผื่อเลือก คบเผื่อเลือก หรือวงจรอุบาทว์ของการรักๆเลิกๆแบบคนอื่นทั่วไป และการที่จะถ่อมใจตัวเองให้ยอมจำนนต่อพระเจ้าได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคริสเตียนเด็กดื้อหลายๆคน (ทุกวันนี้เราเองก็ยังดื้อบอกเลย) แต่คู่สามีภรรยาอย่าง Eric และ Leslie Ludy ทำให้เราเห็นว่ากว่าที่พวกเขาเองจะฝ่าฟันกำแพงในหัวใจตัวเอง เอาชนะกรอบความต้องการของตัวเองแล้วมอบอำนาจการตัดสินใจให้พระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเขาจะต้องพานพบกับความอึดอัดคับข้องใจอะไรบ้าง การตามล่าไขว่คว้าหารักแท้ด้วยตัวเองที่มันล้มเหลวไม่เป็นท่าได้สร้างบทเรียนอะไรให้แก่พวกเขา และหากพวกเขาสองคนผ่านมันมาได้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับคริสเตียนคนอื่นๆเช่นกัน และผลของมันคุ้มค่ายิ่งนัก

เนื้อหาโดยรวมนั้นไม่ได้พูดถึงแต่การเชื่อฟังคำสอนแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่เรารู้สึกได้คือผู้เขียนนั้นมีความเข้าใจวัยหนุ่มสาวเป็นอย่างมาก พวกเขาพยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นการดีกว่าอย่างไรที่จะยอมเชื่อฟังพระเจ้าและรอคอยแผนการของพระองค์ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าความคิดที่ว่าตัวเองย่อมจะเลือกคนในแบบที่ตัวเองชอบและเหมาะสมที่สุดนั้นไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด หากแต่พระเจ้าผู้ที่ทรงสร้างเรามานั่นแหละที่รู้จักเราดียิ่งกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าพระองค์จะต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ชีวิตหรือเรื่องอะไรอย่างอื่น นอกจากนี้ยังย้ำเตือนว่าเราก็ต้องไม่ลืมที่จะทำตัวเองให้เป็นคนที่ดีพอและคู่ควรกับ "คู่พระพร" ของตัวเองด้วยเช่นกัน

ตอนที่เราชอบที่สุดในหนังสือคือตอนที่ Eric ได้เขียนจดหมายถึงภรรยาของตัวเองในอนาคต เขาทยอยเขียนมันแทบทุกวันโดยตั้งใจว่าจะมอบให้กับเธอในคืนวันแต่งงาน มันเป็นอะไรที่โรแมนติคมากๆ มากซะจนอยากจะลองทำแบบนั้นดูบ้าง เราก็ได้แต่จดๆจ้องๆอยู่หลายทีเพราะกลัวว่าจะรับความน้ำเน่าของตัวเองไม่ไหว พาลให้คิดไปว่าขนาดตัวเองยังจะรับไม่ได้แล้วอิตาสามีในอนาคตเขาจะรับได้เรอะ อย่าเขียนเลยดีกว่างั้น แต่ก็นั่นแหละ ถ้่าเราวางใจในแผนการของพระเจ้าแล้ว เราก็คงจะได้พบเจอกับคนที่จะรักเราในแบบที่เราเป็นได้แน่ ไม่ว่าเราจะเคยเขียนอะไรถึงเขาแบบน้ำเน่าแค่ไหนก็ตาม พูดได้เต็มปากว่าลีลาการใช้ภาษาที่ถ่ายทอดออกมาทำให้เราอ่านรวดเดียวจนจบอย่างที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับหนังสือเล่มนี้ ก็คงต้องยกเครดิตให้กับผู้แปลอย่างคุณพักตร์พริ้ง อัครสวาท ที่สามารถแปลออกมาได้อย่างราบรื่นนุ่มนวลเป็นที่สุด รวมทั้งสำนักพิมพ์ Bridge Communication ที่คัดสรรวรรณกรรมคริสเตียนดีๆแบบนี้มาให้คริสเตียนไทยได้อ่านกัน (แอบหวังว่าจะซื้อเล่มอื่นของ Eric&Leslie มาแปลเพิ่มอีกนะ หรือของนักเขียนท่านอื่นที่เขียนเรื่องแนวนี้ก็ได้)

ย้อนกลับไปพูดถึงคำถามข้างต้นว่าคุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่ากันดีกว่า แน่นอนว่าสำหรับคริสเตียนทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพระเจ้าคือผู้ลิขิต หนังสือเล่มนี้จะย้ำเตือนให้คุณรู้ว่าคุณไม่มีวันสิ้นหวังในความรักแบบหนุ่มสาวแน่นอนตราบใดที่คุณมีพระเจ้าอยู่เคียงข้าง คุณจะได้สมหวังกับคนที่เหมาะสม หรือต่อให้คุณไม่มีคู่ คุณก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขไม่ทุรนทุรายเช่นกันเพราะความรักจากพระองค์และผู้คนรอบข้างนั้นก็มากเพียงพอแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตโสดอย่างชื่นชมยินดี ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ใช่คริสเตียน ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่เชื่อเอาซะเลย สิ่งที่คุณจะไ้ด้รับจากหนังสือเล่มนี้คือมุมมองในการเลือกคู่ชีวิตแบบใหม่ๆที่จะทำให้คุณไม่จมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ ปัญหาของความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยแบบเดิมที่คุณเคยพบมา และถึงคุณจะไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าเลยก็ตาม เราก็ยังเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีความหวังในการรอคอยคนที่ใช่มากขึ้นอีกเยอะเลยละ

อ่านอะไรต่อดี >>> หนังสือเล่มอื่นของสามีภรรยาคู่นี้


Thursday, 26 June 2014

พาทัวร์ Dasa Book Café

สำหรับนักอ่านที่มีความชื่นชอบในการอ่านนิยายภาษาอังกฤษอย่างเราๆก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่านิยายภาษาอังกฤษที่มีขายกันอยู่ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษชั้นนำของบ้านเรานั้นราคาแพงจับใจ ถ้าไม่ได้รวยเหลือเฟือมีสตางค์เหลือกินเหลือใช้จริงๆแล้วละก็ เวลาที่เสียเงินซื้อหนังสือทีไรเรียกได้ว่าต้องกินแกลบกันทุกทีเลยแหละ แถมพอมอง wishlist ที่ยังมียาวเป็นหางว่าวก็พาลท้อใจ นี่ฉันจะต้องกินแกลบไปอีกนานแค่ไหน หรือจะเลิกอ่านมันให้หมดรู้แล้วรู้แร่ดดี แต่วันนี้เราพบตัวช่วยแล้วค่ะ จะเป็นที่ไหนนั้นลองตามไปดูกันเลยนะ


Dasa Book Café เป็นร้านหนังสือภาษาอังกฤษมือสอง ตั้งอยู่บนทำเลทองของชาวต่างชาตินั่นก็คือถนนสุขุมวิทนั่นเอง การเดินทางก็ไม่ยากเย็นเลย เพียงแค่นั่ง BTS ไปลงที่สถานีพร้อมพงษ์แล้วเดินลงทางออกฝั่งเอ็มโพเรียม จากนั้นให้เดินเลยไปทางซอย 26 ค่ะ ข้ามถนนตรงซอยไปเลย จะเจอร้านตั้งอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 26 กับ 28 นั่นแหละ จุดสังเกตก็คือจะมีแกลอรีเปียโนตั้งอยู่ไม่กี่คูหาก่อนถึงร้านค่ะ



ตัวร้านเองเป็นตึกแถวขนาดหนึ่งคูหา ด้านหน้ามีป้ายสีเหลืองเห็นเด่นชัดเลยทีเดียว และจะมีโต๊ะกระบะหนังสือลดราคาวางอยู่ติดหน้าร้านเป็นประจำทุกวันด้วย ขอกระซิบบอกตรงนี้เลยแล้วกันว่าเรามักจะหาของดีราคาถูกจนน่าตกใจได้จากกระบะนี้เสมอ (Angels&Demons ของ Dan Brown ที่ราคา 29 บาท อีกเล่มคือ Balzac and the Little Chinese Seamstree ของ Dai Sijie หนังสือที่กลายเป็นหนังอาร์ทชื่อดังการันตีโดย Sundance ก็ได้มาในราคาเท่ากัน) แค่ออกแรงคุ้ยกันนิดหน่อยก็อาจจะได้หนังสือที่ชอบในราคาโดนๆโดยที่ยังไม่ต้องเข้าไปข้างในเลยด้วยซ้ำ


เมื่อเข้ามาภายในตัวร้าน ชั้นแรกเราก็จะพบกับคอลเลคชั่นหนังสือขนาดใหญ่ละลานตาเต็มสองฟากกำแพงร้านเลยค่ะ ซึ่งจะเป็น general fiction เป็นส่วนมากค่ะ เลือกกันแบบไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว ครั้งแรกที่ไปรู้สึกตื่นเต้นมากจนไม่รู้จะเริ่มเลือกหาตรงไหนก่อนดี มีอาการแบบบ้านนอกเข้ากรุงเลยก็ว่าได้ เพราะไม่เคยเจอกับร้านหนังสือมือสองที่มีการจัดร้านได้สวยและเป็นระบบระเบียบขนาดนี้ในบ้านเรามาก่อนเลยค่ะ ด้านหน้าของเคาน์เตอร์จะมีชั้นหนังสือมาใหม่ด้วย อะไรที่เพิ่งเข้าร้านมาสดๆร้อนๆเขาก็จะเอามาไว้ที่มุมนี้แหละ มีของดีๆเพียบนะบอกเลย หลังเคาน์ตอร์เขามีมุมกาแฟด้วย สำหรับใครที่อยากจิบกาแฟและนั่งเลือกหนังสือไปพลางๆก็สามารถทำได้ ราคากาแฟถือว่าถูกกว่าร้านอื่นๆในทำเลนี้แล้วละ ยิ่งช่วงนี้เข้าหน้าฝน ได้นั่งจิบกาแฟติดฝนในร้านกับหนังสือดีๆที่เลือกไว้ก็มีความสุขดีออกนะ หลังจากที่เดินเลยเคาน์เตอร์เข้าไปด้านในก็จะถึงส่วนของหนังสือประเภทศิลปะ ท่องเที่ยว guide book สอนภาษา ภาพถ่าย และงานฝีมือต่างๆค่ะ




จากนั้นเราจะเจอกับบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองค่ะ ในชั้นนี้จะมีหนังสือมากมายหลายประเภทด้วยกัน ถ้าเราขึ้นบันไดมาและเดินตรงเข้าไปเลย เราก็จะเจอกับนิยายลึกลับอยู่ฝั่งซ้ายมือ ต้องขอบอกเลยว่าคอลเลคชั่นของที่นี่อลังการงานสร้างมากจริงๆ ใครที่เป็นแฟนนิยายแนวนี้เชิญแวะมาได้เลย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน มีให้เลือกกันหูตาลายเลยแหละ ในชั้นฝั่งขวาเราจะพบกับหนังสือชีวประวัติบุคคลและบันทึกชีวิต ซึ่งก็มีหนังสือของบุคคลดังระดับโลกในแวดวงต่างๆให้เลือกมากมาย หากเดินเลี้ยวขวาไปอีกด้าน เราก็จะพบกับคอลเลคชั่นนิยายแฟนตาซีและไซไฟที่มีหนังสือหลากหลายไม่แพ้กัน ส่วนด้านขวาถ้าเราจะไม่ผิดจะเป็นหนังสือหมวดธุรกิจและการเมืองการปกครองรวมทั้งประวัติศาสตร์ด้วย ถึงจะมีไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่แต่มีเล่มที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน



ยังคงอยู่กันที่ชั้นสองนะคะ หลังจากที่เดินผ่านโซนแฟนตาซีมาจนถึงบันไดที่จะขึ้นต่อไปยังชั้นสาม อย่าเพิ่งขึ้นไปนะ ให้มองเลยไปทางหลังบันไดก่อน ตรงนั้นเป็นมุมของดีสำหรับสาวๆค่ะ เพราะนิยาย chick-lit และโรมานซ์รอคุณอยู่ ที่นีมีงานของนักเขียนดังๆให้เลือกครบเลยละ และในฝั่งตรงข้ามกันก็เป็นชั้นหนังสือเด็กค่ะ มีทั้งหนังสือสำหรับเด็กเล็กเลยไปถึงเด็กโตเลยนะ ไม่ว่าคุณจะมองหานิทานน่ารักๆให้เด็กตัวน้อยๆ หรือวรรณกรรมเยาวชนเรื่องดังๆ เลยไปจนถึง YA ที่กำลังบูมในยุคหลังนี้ก็สามารถหาได้ที่ชั้นนี้ละค่ะ แต่ยังไม่หมดแค่นี้นะ มันจะมีซอกเล็กๆอีกซอกนึงที่ซ่อนตัวอยู่ ในซอกนี้เราจะพบกับตำราทำอาหารอย่างดี เป็นพวก cook book ของเชฟดังๆระดับโลก รวมทั้งตำราอาหารเพื่อสุขภาพมากมาย ยังจ้า ยังไม่หมดเท่านั้น ยังมีหนังสือสำหรับแม่และเด็กให้ได้เลือกกันอีก รวมไปถึงหนังสือแนว sex life และความรักความสัมพันธ์ต่างๆก็ถูกจัดไว้ที่มุมนี้ด้วย






หลังจากที่เต็มอิ่มกับชั้นสองแล้วก็ได้เวลาขึ้นไปลุยที่ชั้นสามกันต่อค่ะ ขึ้นบันไดมาปุ๊บเราก็จะสะดุดตากับชั้นหนังสือติดผนังทรงกลมที่อยู่ตรงกำแพงด้านขวาทันที ในชั้นนี้จะเป็นหนังสือแนวตลกขบขันค่ะ มีไม่เยอะเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนว่าคนไม่ค่อยสนใจมากด้วย เพราะเวลาไปทีไรก็เห็นแต่เล่มเดิมๆทุกที มาต่อกันที่ชั้นฝั่งซ้ายค่ะ จะเป็นหนังสือแนวปรัชญาและศาสนาซะครึ่งนึง ส่วนอีกครึ่งจะเป็นหนังสือภาษาต่างประเทศอื่นๆค่ะ เช่น ฝรั่งเศส ดัชท์ สแกนดิเนเวียน สแปนิช อิตาเลียน เป็นต้น ในชั้นฝั่งตรงข้ามกันนั้นเราจะเจอกับหนังสือหมวดเพลงและศิลปินค่ะ มีทั้งประวัติวง ประวัติดนตรีแขนงต่างๆ มีหลายเล่มที่น่าสนใจและขายดีมากๆเลย บางทีเรากลับไปอีกครั้งของก็ออกไปแล้ว หลายเล่มมากด้วย ตามมาด้วยหมวดจิตวิทยา นอกจากนี้ยังมีอีกชั้นข้างๆกันที่รวบรวมหนังสือบทละครและบทกลอนไว้ค่ะ ใครที่เป็นแฟนบทละครระดับโลกและนักกวีชื่อก้องก็ให้มาหาได้ที่นี่เลย


และในชั้นสามนี้ยังมีมุมเด็ดอีกมุมคือ blow-out books ค่ะ เป็นหนังสือลดแหลก ที่สภาพก็ตามราคาอะนะคะ แหลกบ้างเยินบ้างปะปนกันไป เท่าที่เราเคยลองคุ้ยดูไม่ค่อยเจอหนังสือดังๆหรือดูเป็นที่ต้องการของตลาดมากเท่าไหร่ แต่ยังไงก็อยากให้ลองมาคุ้ยดูค่ะ อาจจะเจออะไรที่ไม่นึกไม่ฝันซ่อนตัวอยู่ก็ได้นะ อีกส่วนที่เหลือก็จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ สิ่งแวดล้อม หนังสือเกี่ยวกับกีฬาประเภทต่างๆรวมทั้งนักกีฬาดังๆ และหนังสืออาชญากรรมค่ะ ท้ายสุดก่อนที่จะลงบันไดกลับลงไปก็จะมีโต๊ะตัวนึงที่เอาไว้วาง graphic novel แอบเจอเรื่องดังๆหลายเล่มเหมือนกันนะ

พาเดินชมทั่วร้านแล้วก็ขอมาพูดถึงสภาพหนังสือและสนนราคาบ้างแล้วกันเนอะ ถ้าถามความเห็นเรานะ หนังสือในชั้นปกติที่ร้านนี้เราให้สภาพเกิน 70% หมดเลยละ อาจจะมีรอยยับ รอยพับ หักงอที่มุมปกบ้าง แต่ทางร้านก็จะเคลือบเทปใสดามรอยให้ กระดาษเหลืองเก่าเล็กน้อย มีรามีฝ้าหนังสือบางๆตามแบบฉบับของหนังสือเก่า หนังสือที่เปียกน้ำจนย่นก็โผล่มาให้เห็นบ้างเล็กน้อย เข้าใจว่าน่าจะมาจากนักเดินทางที่อาจจะไม่ค่อยระวังเท่าไหร่ หนังสือค่อนข้างผ่านมาหลายมือก็เลยช้ำมากหน่อย ในขณะที่หนังสือหลายๆเล่มก็สภาพดีมาก เกิน 90% เลยด้วยซ้ำ เหมือนเจ้าของเดิมซื้อมาอ่านรวดเดียวจบในวันเดียวแต่ไม่ชอบเลยเอามาขายต่อ หรือไม่ซื้อมาสุมจนหมดความอยากอ่านก็เลยขายทิ้ง ทีนี้มาว่าที่เรื่องราคากันต่อ หนังสือในร้านที่ราคาถูกที่สุดที่เราเคยเจอมาก็ 9 บาท เป็นหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มสี่เหลี่ยมเล็กๆจากกอง blow-out ที่ชั้นสาม (มีในรูปด้านบน ลองมองหาดูดีๆจะเห็น) พวกหนังสือจากกองลดแหลกราคาจะถูกกว่าเป็นปกติ ก็จะไล่ไปตั้งแต่ 19 29 49 79 99 ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งมีปะปนกันไปทั้งปกอ่อนและปกแข็งนะ เราเองเคยได้นิยายปกแข็งมาในราคา 79 บาท สภาพก็โอเคเลยแหละ ส่วนหนังสือตามชั้นปกติราคาก็จะเริ่มตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปค่ะ ซึ่งราคาก็ตามสภาพอะค่ะ บวกกับตัวแปรอีกอย่างคือความนิยมด้วย บางเล่มที่มีมากกว่าหนึ่งก๊อปปี้ก็อาจจะมีหลายราคาให้เลือกซื้อตามแต่สภาพความเยินของหนังสือ พอใจเล่มไหนเลือกได้ค่ะ หนังสือจากชั้นปกติที่ราคาแพงถึง 300-400 ส่วนมากจะเป็นตำราทำอาหารและพวก guide book ที่ออกใหม่ๆหน่อยค่ะ แล้วก็พวกหนังสือศิลปะที่เป็นปกแข็ง มีภาพประกอบสี่สีทั้งเล่มอะไรแบบนี้ นอกนั้นก็จะมีหนังสือหายากสำหรับนักสะสมที่จะราคาแพงเข้าหลักพันไปเลยค่ะ

นอกจากนี้เรายังสามารถนำหนังสือเก่าของเราไปขายได้ด้วยนะ จะเลือกรับเป็นเงินสดหรือเป็นเครดิตเพื่อเทรดกับหนังสือที่ขายในร้านก็ได้ แม้แต่หนังสือที่ซื้อไปจากร้านก็เอากลับมาเทรดได้เช่นกันค่ะ ถ้านำกลับมาภายในปีนึงหลังจากซื้อไปก็จะได้เครดิตสูงเลยแหละ แล้วแลกเป็นเล่มใหม่ไปอ่าน ระบบนี้ดีมากๆเลยนะ เราเคยรู้มาว่าร้านหนังสือมือสองในต่างประเทศเขาทำกันแบบนี้ แต่ไม่เคยเจอร้านในไทยร้านไหนเลยที่ทำ ก็เพิ่งมาเจอกับ Dasa เป็นที่แรกนี่ละค่ะ 


ท้ายสุดแล้วจะบอกว่าทางร้านเขามีเวบไซต์ด้วยนะ ลองเข้าไปเช็ครายการหนังสือที่เข้าใหม่ประจำวันดูได้ เขาจะอัพขึ้นเวบตอนค่ำๆเวลาใกล้ปิดร้านของทุกวันเลยละ อ้อ ร้านเขาเปิดช่วงสิบโมงเช้าถึงสองทุ่มนะ นอกจากนี้ยังจะอัพรายการของหนังสือทั้งหมดในร้านด้วย อัพเป็นไฟล์ .xls เลยทีเดียว เข้าไปโหลดมาเช็คได้ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ค่ะ ที่เด็ดอีกอย่างคือคุณสามารถสั่งหนังสือได้ทางอีเมล์ด้วยนะ อยากได้เล่มไหนก็ก๊อปปี้ข้อมูลจากรายการบอกทางร้านได้เลย แล้วเขาจะรวบรวมราคาพร้อมค่าส่งให้ เหมาะสำหรับคนบ้านไกลที่ไม่ค่อยมายด์ว่าจะต้องเห็นหนังสือตัวจริงก่อนซื้อ เราเองเวลามีหนังสือที่อยากได้มากๆจนกลัวคนจะตัดหน้าซื้อไปก่อนแต่ไม่สะดวกจะแวะไปก็ใช้วิธีนี้แหละ ถ้าไม่วอนท์มากจริงๆเราก็ยอมเสี่ยงรอไปเลือกเองที่ร้านดีกว่า เพราะเราชอบที่จะได้สูดกลิ่นหอมชื่นใจของหนังสือเก่าในบรรยากาศแบบนี้ที่สุดเลยละ



Tuesday, 24 June 2014

ลมใต้ปอด


                                                              Source 

ลมใต้ปอด เขียนโดยภราดล พรอำนวย หรือที่เพื่อนๆของเขาเรียกกันว่าปอ เป็นผลงานดีๆจากบางนราสำนักพิมพ์ ที่เพียงแค่คำโปรยที่หน้าปกหนังสือก็ดึงดูดใจเราไว้จนอยู่หมัดแล้ว ... เมื่อเสียงแซ็กโซโฟนและมิตรภาพพาเราเดินทางไปไกลค่อนโลก ... รายละเอียดคร่าวๆก็คือว่าปอเป็นนักดนตรีและเพื่อนชาวฝรั่งเศสของเขาก็เชิญให้ไปร่วมงานเทศกาลดนตรีที่ปารีส แต่เขามีงบจำกัดในการเดินทาง เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางอย่างประหยัด จากเชียงใหม่ไปยังกรุงปารีส ... เรารักในเสียงเพลงและการเดินทาง ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลใจอีก เราจะต้องคว้าหนังสือเล่มนี้มาไว้ในครอบครองให้จงได้
 
เราต้องขอยอมรับตรงนี้เลยว่าตอนแรกเราคาดหวังที่จะได้ทิปส์เด็ดๆในการเดินทางแบบประหยัดในสไตล์ของแบ็คแพ็คเกอร์บ้างไม่มากก็น้อย แต่หลังจากที่ได้อ่านจนจบรวดเดียวภายในเวลาไม่กี่ชม. เราก็พบว่ามันไม่ใช่เลย แต่มันก็ทำให้เราก็หลงรักเข้ากับวิธีการเล่าเรื่องของปอเข้าอย่างจัง เขาใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเขียนไดอารีหรือบันทึกประจำวัน เป็นการสนทนากับผู้อ่านด้วยระยะการวางตัวเหมือนเป็นเพื่อนกัน เพื่อนที่อาจจะยังไม่สนิทกันมากนัก แต่ก็เป็นเพื่อนที่สามารถบอกเล่าความในใจแก่กันได้ประมาณนึง เราถูกชะตากับการเล่าเรื่องของเขามาก ในบางทีที่เขาไม่รู้จะเอาเนื้อเรื่องตรงนั้นแทรกเข้าไปในลำดับเวลาตรงไหนดี เขาก็พูดออกมาทื่อๆว่าเขาไม่รู้จะไปเล่าตรงไหนนะ งั้นขอเล่ามันดื้อๆตรงนี้แล้วกัน เราว่ามันดูจริงใจดี มันทำให้เราต้องหัวเราะออกมากับตัวเองเบาๆ หรือแม้แต่เรื่องราวพื้นๆของพ่อค้าที่ขนของหนีภาษีบนรถไฟ ที่คนไทยสามารถพบเห็นได้ในรถไฟสายใต้บ้านเรา ปอก็สามารถเล่าผ่านมุมมองในแบบของเขาที่ทำให้เราเกิดอาการซึมและอึนได้ประมาณนึงเลย นอกจากนี้ยังมีถ้อยคำที่ถ่ายทอดมุมมองและแง่มุมความคิดหลายๆอย่างผ่านประสบการณ์ในการเดินทางและการพบเจอผู้คนใหม่ๆมากหน้าหลายตา ที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่าเราก็เคยมีความคิดแบบนั้นเหมือนกัน หรือบางทีก็เป็นมุมที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อนว่าถ้าเราต้องตกในสถานการณ์แบบเดียวกันกับเขา เราจะมีท่าทียังไงต่อสิ่งนั้น 
 
เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราชอบวิธีการเล่าเรื่องของปอน่าจะเป็นเพราะความเป็นอาร์ทติสที่อยู่ในตัวเขาเป็นแน่แท้ เขาเรียนจบปริญญาด้านศิลปะ อีกทั้งยังเรียนดนตรี เคยทำงานเป็นสถาปนิก และสุดท้ายก็เดินตามความฝันของตัวเองโดยการเข้าหุ้นกับเพื่อนเปิดแจ๊สบาร์ เท่าที่เรารู้มานี่คือผลงานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์ชิ้นแรกของเขา แต่ด้วยความเป็นอาร์ทติสในตัวนี่แหละที่ทำให้ลีลาการเขียนจับใจเราเป็นอันมาก
 
สิ่งที่เราได้รับจากลมใต้ปอด อาจจะไม่ใช่ทิปส์เด็ดๆในการเดินทางแบบประหยัด อาจจะไม่ใช่รายละเอียดในการซื้อตั๋วรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย หรือไม่ใช่การรีวิวโฮสเทลในเมืองจีนและมองโกเลีย แต่มันเป็นมุมมองใหม่ในการมองชีวิตผู้คนรอบตัวที่เราเคยมองข้ามไป รวมทั้งการมองย้อนเข้าไปในหัวใจตัวเองด้วยเหมือนกัน

อ่านอะไรต่อดี >> หนังสือท่องเที่ยวที่เขียนโดยนิ้วกลมและทรงกลด บางยี่ขัน


Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi