สำหรับคำถามนี้บางคนอาจจะตอบได้ บางคนอาจจะตอบไม่ได้ หรือบางคนอาจจะยังไม่รู้และไม่แน่ใจ แต่เราขอบอกก่อนเลยว่าวรรณกรรมคริสเตียนเล่มนี้จะช่วยให้คุณหาคำตอบของคำถามนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่คริสเตียนก็ตาม ส่วนตัวเราเองก่อนที่จะมาเป็นคริสเตียนเราก็เคยมีความคิดถึงเรื่องคู่ในทำนองว่าฟ้าจะจัดส่งคนที่เหมาะสมกับเรามาให้นะ มันอาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่เราเชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่ไม่ว่าจะศาสนาอะไรก็ตามคิดเหมือนกับเรานี่แหละ
When God Writes Your Love Story เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการที่คริสเตียนหนุ่มสาวจะต้องมอบความไว้วางใจในพระเจ้า และเชื่อมั่นในแผนการที่พระองค์จะทรงจัดสรร "คู่พระพร" ให้กับเรา โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไปในวังวนของการรักเผื่อเลือก คบเผื่อเลือก หรือวงจรอุบาทว์ของการรักๆเลิกๆแบบคนอื่นทั่วไป และการที่จะถ่อมใจตัวเองให้ยอมจำนนต่อพระเจ้าได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคริสเตียนเด็กดื้อหลายๆคน (ทุกวันนี้เราเองก็ยังดื้อบอกเลย) แต่คู่สามีภรรยาอย่าง Eric และ Leslie Ludy ทำให้เราเห็นว่ากว่าที่พวกเขาเองจะฝ่าฟันกำแพงในหัวใจตัวเอง เอาชนะกรอบความต้องการของตัวเองแล้วมอบอำนาจการตัดสินใจให้พระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเขาจะต้องพานพบกับความอึดอัดคับข้องใจอะไรบ้าง การตามล่าไขว่คว้าหารักแท้ด้วยตัวเองที่มันล้มเหลวไม่เป็นท่าได้สร้างบทเรียนอะไรให้แก่พวกเขา และหากพวกเขาสองคนผ่านมันมาได้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับคริสเตียนคนอื่นๆเช่นกัน และผลของมันคุ้มค่ายิ่งนัก
เนื้อหาโดยรวมนั้นไม่ได้พูดถึงแต่การเชื่อฟังคำสอนแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่เรารู้สึกได้คือผู้เขียนนั้นมีความเข้าใจวัยหนุ่มสาวเป็นอย่างมาก พวกเขาพยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นการดีกว่าอย่างไรที่จะยอมเชื่อฟังพระเจ้าและรอคอยแผนการของพระองค์ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าความคิดที่ว่าตัวเองย่อมจะเลือกคนในแบบที่ตัวเองชอบและเหมาะสมที่สุดนั้นไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด หากแต่พระเจ้าผู้ที่ทรงสร้างเรามานั่นแหละที่รู้จักเราดียิ่งกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าพระองค์จะต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ชีวิตหรือเรื่องอะไรอย่างอื่น นอกจากนี้ยังย้ำเตือนว่าเราก็ต้องไม่ลืมที่จะทำตัวเองให้เป็นคนที่ดีพอและคู่ควรกับ "คู่พระพร" ของตัวเองด้วยเช่นกัน
ตอนที่เราชอบที่สุดในหนังสือคือตอนที่ Eric ได้เขียนจดหมายถึงภรรยาของตัวเองในอนาคต เขาทยอยเขียนมันแทบทุกวันโดยตั้งใจว่าจะมอบให้กับเธอในคืนวันแต่งงาน มันเป็นอะไรที่โรแมนติคมากๆ มากซะจนอยากจะลองทำแบบนั้นดูบ้าง เราก็ได้แต่จดๆจ้องๆอยู่หลายทีเพราะกลัวว่าจะรับความน้ำเน่าของตัวเองไม่ไหว พาลให้คิดไปว่าขนาดตัวเองยังจะรับไม่ได้แล้วอิตาสามีในอนาคตเขาจะรับได้เรอะ อย่าเขียนเลยดีกว่างั้น แต่ก็นั่นแหละ ถ้่าเราวางใจในแผนการของพระเจ้าแล้ว เราก็คงจะได้พบเจอกับคนที่จะรักเราในแบบที่เราเป็นได้แน่ ไม่ว่าเราจะเคยเขียนอะไรถึงเขาแบบน้ำเน่าแค่ไหนก็ตาม พูดได้เต็มปากว่าลีลาการใช้ภาษาที่ถ่ายทอดออกมาทำให้เราอ่านรวดเดียวจนจบอย่างที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับหนังสือเล่มนี้ ก็คงต้องยกเครดิตให้กับผู้แปลอย่างคุณพักตร์พริ้ง อัครสวาท ที่สามารถแปลออกมาได้อย่างราบรื่นนุ่มนวลเป็นที่สุด รวมทั้งสำนักพิมพ์ Bridge Communication ที่คัดสรรวรรณกรรมคริสเตียนดีๆแบบนี้มาให้คริสเตียนไทยได้อ่านกัน (แอบหวังว่าจะซื้อเล่มอื่นของ Eric&Leslie มาแปลเพิ่มอีกนะ หรือของนักเขียนท่านอื่นที่เขียนเรื่องแนวนี้ก็ได้)
ย้อนกลับไปพูดถึงคำถามข้างต้นว่าคุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่ากันดีกว่า แน่นอนว่าสำหรับคริสเตียนทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพระเจ้าคือผู้ลิขิต หนังสือเล่มนี้จะย้ำเตือนให้คุณรู้ว่าคุณไม่มีวันสิ้นหวังในความรักแบบหนุ่มสาวแน่นอนตราบใดที่คุณมีพระเจ้าอยู่เคียงข้าง คุณจะได้สมหวังกับคนที่เหมาะสม หรือต่อให้คุณไม่มีคู่ คุณก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขไม่ทุรนทุรายเช่นกันเพราะความรักจากพระองค์และผู้คนรอบข้างนั้นก็มากเพียงพอแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตโสดอย่างชื่นชมยินดี ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ใช่คริสเตียน ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่เชื่อเอาซะเลย สิ่งที่คุณจะไ้ด้รับจากหนังสือเล่มนี้คือมุมมองในการเลือกคู่ชีวิตแบบใหม่ๆที่จะทำให้คุณไม่จมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ ปัญหาของความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยแบบเดิมที่คุณเคยพบมา และถึงคุณจะไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าเลยก็ตาม เราก็ยังเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีความหวังในการรอคอยคนที่ใช่มากขึ้นอีกเยอะเลยละ
อ่านอะไรต่อดี >>> หนังสือเล่มอื่นของสามีภรรยาคู่นี้
When God Writes Your Love Story เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการที่คริสเตียนหนุ่มสาวจะต้องมอบความไว้วางใจในพระเจ้า และเชื่อมั่นในแผนการที่พระองค์จะทรงจัดสรร "คู่พระพร" ให้กับเรา โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไปในวังวนของการรักเผื่อเลือก คบเผื่อเลือก หรือวงจรอุบาทว์ของการรักๆเลิกๆแบบคนอื่นทั่วไป และการที่จะถ่อมใจตัวเองให้ยอมจำนนต่อพระเจ้าได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคริสเตียนเด็กดื้อหลายๆคน (ทุกวันนี้เราเองก็ยังดื้อบอกเลย) แต่คู่สามีภรรยาอย่าง Eric และ Leslie Ludy ทำให้เราเห็นว่ากว่าที่พวกเขาเองจะฝ่าฟันกำแพงในหัวใจตัวเอง เอาชนะกรอบความต้องการของตัวเองแล้วมอบอำนาจการตัดสินใจให้พระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเขาจะต้องพานพบกับความอึดอัดคับข้องใจอะไรบ้าง การตามล่าไขว่คว้าหารักแท้ด้วยตัวเองที่มันล้มเหลวไม่เป็นท่าได้สร้างบทเรียนอะไรให้แก่พวกเขา และหากพวกเขาสองคนผ่านมันมาได้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับคริสเตียนคนอื่นๆเช่นกัน และผลของมันคุ้มค่ายิ่งนัก
เนื้อหาโดยรวมนั้นไม่ได้พูดถึงแต่การเชื่อฟังคำสอนแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่เรารู้สึกได้คือผู้เขียนนั้นมีความเข้าใจวัยหนุ่มสาวเป็นอย่างมาก พวกเขาพยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นการดีกว่าอย่างไรที่จะยอมเชื่อฟังพระเจ้าและรอคอยแผนการของพระองค์ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าความคิดที่ว่าตัวเองย่อมจะเลือกคนในแบบที่ตัวเองชอบและเหมาะสมที่สุดนั้นไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด หากแต่พระเจ้าผู้ที่ทรงสร้างเรามานั่นแหละที่รู้จักเราดียิ่งกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าพระองค์จะต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ชีวิตหรือเรื่องอะไรอย่างอื่น นอกจากนี้ยังย้ำเตือนว่าเราก็ต้องไม่ลืมที่จะทำตัวเองให้เป็นคนที่ดีพอและคู่ควรกับ "คู่พระพร" ของตัวเองด้วยเช่นกัน
ตอนที่เราชอบที่สุดในหนังสือคือตอนที่ Eric ได้เขียนจดหมายถึงภรรยาของตัวเองในอนาคต เขาทยอยเขียนมันแทบทุกวันโดยตั้งใจว่าจะมอบให้กับเธอในคืนวันแต่งงาน มันเป็นอะไรที่โรแมนติคมากๆ มากซะจนอยากจะลองทำแบบนั้นดูบ้าง เราก็ได้แต่จดๆจ้องๆอยู่หลายทีเพราะกลัวว่าจะรับความน้ำเน่าของตัวเองไม่ไหว พาลให้คิดไปว่าขนาดตัวเองยังจะรับไม่ได้แล้วอิตาสามีในอนาคตเขาจะรับได้เรอะ อย่าเขียนเลยดีกว่างั้น แต่ก็นั่นแหละ ถ้่าเราวางใจในแผนการของพระเจ้าแล้ว เราก็คงจะได้พบเจอกับคนที่จะรักเราในแบบที่เราเป็นได้แน่ ไม่ว่าเราจะเคยเขียนอะไรถึงเขาแบบน้ำเน่าแค่ไหนก็ตาม พูดได้เต็มปากว่าลีลาการใช้ภาษาที่ถ่ายทอดออกมาทำให้เราอ่านรวดเดียวจนจบอย่างที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับหนังสือเล่มนี้ ก็คงต้องยกเครดิตให้กับผู้แปลอย่างคุณพักตร์พริ้ง อัครสวาท ที่สามารถแปลออกมาได้อย่างราบรื่นนุ่มนวลเป็นที่สุด รวมทั้งสำนักพิมพ์ Bridge Communication ที่คัดสรรวรรณกรรมคริสเตียนดีๆแบบนี้มาให้คริสเตียนไทยได้อ่านกัน (แอบหวังว่าจะซื้อเล่มอื่นของ Eric&Leslie มาแปลเพิ่มอีกนะ หรือของนักเขียนท่านอื่นที่เขียนเรื่องแนวนี้ก็ได้)
ย้อนกลับไปพูดถึงคำถามข้างต้นว่าคุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่ากันดีกว่า แน่นอนว่าสำหรับคริสเตียนทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพระเจ้าคือผู้ลิขิต หนังสือเล่มนี้จะย้ำเตือนให้คุณรู้ว่าคุณไม่มีวันสิ้นหวังในความรักแบบหนุ่มสาวแน่นอนตราบใดที่คุณมีพระเจ้าอยู่เคียงข้าง คุณจะได้สมหวังกับคนที่เหมาะสม หรือต่อให้คุณไม่มีคู่ คุณก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขไม่ทุรนทุรายเช่นกันเพราะความรักจากพระองค์และผู้คนรอบข้างนั้นก็มากเพียงพอแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตโสดอย่างชื่นชมยินดี ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ใช่คริสเตียน ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่เชื่อเอาซะเลย สิ่งที่คุณจะไ้ด้รับจากหนังสือเล่มนี้คือมุมมองในการเลือกคู่ชีวิตแบบใหม่ๆที่จะทำให้คุณไม่จมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ ปัญหาของความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยแบบเดิมที่คุณเคยพบมา และถึงคุณจะไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าเลยก็ตาม เราก็ยังเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีความหวังในการรอคอยคนที่ใช่มากขึ้นอีกเยอะเลยละ
อ่านอะไรต่อดี >>> หนังสือเล่มอื่นของสามีภรรยาคู่นี้
No comments :
Post a Comment