Thursday, 31 July 2014

Babyji



Babyji เป็นนิยายจากนักเขียนอินเดียค่ะ เป็นเล่มที่เราตั้งความหวังไว้สูงมาก แต่ก็ ... ไม่อยากจะใช้คำว่าผิดหวังเลยจริงๆ แต่เอาเป็นว่าใกล้เคียงแล้วกัน เพราะอะไรเดี๋ยวจะสาธยายให้ฟังค่ะ โดยปกติประมาณสองวีคก่อนจะมีงานหนังสือ เราก็จะชอบหาข้อมูลดูว่ามีหนังสืออะไรที่เราต้องการซื้อหรือเปล่า แล้วเราก็ไปเจอเข้ากับเล่มนี้ค่ะ เป็นงานแปลของสำนักพิมพ์สันสกฤต ผู้แต่งเป็นนักเขียนหญิงชาวอินเดียชื่อ Abha Dawesar ในเวบของสำนักพิมพ์ให้คำบรรยายเนื้อหาของนิยายเล่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจมากๆว่า 

เรื่องราวของสาวรุ่นวรรณะสูงในอินเดีย ที่โรงเรียนเธอคือประธานนักเรียน แต่ที่บ้านเธอแอบอ่าน“กามสูตร” ขนบประเพณีกับการแบ่งชั้นวรรณะ ทำให้เธอต้องค้นหาอิสรภาพในสิ่งที่ตัวเอง ‘อยากทำ’ไม่ใช่สิ่งที่เธอ ‘ต้องทำ’ เธอผูกสัมพันธ์กับรุ่นพี่ เธอมีสาวใช้คู่ใจยามกลางคืน เธอเป็นที่ปรารถนาของเพื่อนผู้ชายทั้งชั้น แม้กระทั่งพ่อของเพื่อน! เบบี้จี จะพาคุณไปรู้จักสังคมอินเดียวันนี้

อ่านแล้วเป็นยังไงคะ น่าสนใจรึเปล่า แต่สำหรับเราเนื้อหาอะไรประมาณนี้เป็นแนวที่เราชอบมาก ถ้าเป็นหนังหรือหนังสือเราจะชอบประเด็นที่พูดถึงการไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง การที่ต้องใช้ชีวิตตามกรอบสังคมประเพณีทั้งที่ใจอยากแหกกรอบใจจะขาด กับเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งตรงที่บอกว่ามีสาวใช้คู่ใจยามกลางคืน ทำให้เรานึกไปว่านี่คงจะเป็นนิยายเลสเบี้ยนหรือไบเซ็กช่วลแน่ๆ ไหนจะหน้าปกที่มีขาเรียวสวยกับกำไลข้อเท้าแสนเย้ายวนก็พาให้เราคิดแบบนั้นเหมือนกัน เลสเบี้ยน/ไบฯมั่วเซ็กซ์ในสังคมอนุรักษ์นิยมแบบอินเดีย อาห์ แค่คิดก็แซบแล้ว ทั้งหมดทั้งปวงนี้เลยทำให้เราอยากอ่านและตั้งความหวังไว้มาก

พอได้อ่านจริงๆมันไม่ใช่อะกิฟ ยัยเด็กตัวเอกนี่ภาพเลือนลางมากในความรู้สึกเรา บุคลิกไม่ชัดเจนเลยว่ามีรูปพรรณสันฐานสูงต่ำดำขาวรึอ้วนผอมยังไง จากคำโปรยในเวบที่ได้อ่านมาตอนแรกทำให้คิดไปเองว่าเด็กนี่เป็นเลสเบี้ยน แต่การพรรณาถึงบุคลิกรูปร่างหน้าตาที่ไม่ชัดเจนที่แค่บอกว่าผมสั้นใส่แว่น บวกกับบทพูดและพฤติกรรมหลายๆอย่างที่แสดงความคิดว่าอยากเป็นผู้ชายทำให้คนอ่านอย่างรู้สึกว่าเด็กนี่น่าเป็นทอมซะมากกว่าที่จะเป็นเลสฯ ซึ่งภาพทอมก็ไม่ชัดอีกอย่างที่บอก เราอ่านแล้วจินตนาการตามไม่ออกเลยว่าเป็นทอมกรังๆแบบเด็กเรียนหรือทอมเท่ระดับเนทไอดอลหรืออะไร นอกจากนั้นตัวละครอื่นๆก็ไม่มีภาพที่ชัดเจนเหมือนกัน หนำซ้ำแล้วยัยเด็กทอมนี่มีอะไรกับคนง่ายมาก โดยไม่มีการอธิบายถึงเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับเท่าที่ควร มันเลยทำให้เสียคุณค่าของแมสเสจจริงๆที่คนแต่งต้องการจะสื่อสาร จากคำโปรยที่เราอ่านในเวบก็ดีหรือหลังปกก็ดีทำให้เรารู้สึกว่าแก่นของเรื่องดีมากนะ น่าสนใจมากๆ ออกจะเป็นวรรณกรรมแนวเฟมินิสต์หรืออะไรทำนองนั้นเลย 

แต่ยัง ... ความรู้สึกแย่ยังไม่หมดแค่ตรงนี้จ้า คือมันจบแบบปาหมอนมากอะ อ่านแล้วงงมากๆว่าคำพูดสุดท้ายมันแปลว่าอะไร สื่อถึงอะไร ทันทีที่อ่านจบเราสงสัยว่ามันพิมพ์หน้าขาดไปรึเปล่าวะ น่าจะมีอีกอย่างน้อย 2-3 หน้าปะวะ จะไปโพสต์ถามในเพจเฟซบุคของสำนักพิมพ์เลยดีมั้ยว่าหน้ามันขาดหรือมันจบแบบนี้จริงๆ หรือจะเช็คกับใครดี เราก็เลยเข้าไปเช็ครีวิวใน goodreads ดู เจอฝรั่งคนนึงบ่นเหมือนเราเด๊ะเลยว่าทันทีที่นางอ่านจบ สิ่งที่ทำคือเข้ามาในเวบเพื่อดูรีวิวให้หายสงสัยว่าหน้าหนังสือไม่ได้ขาดหายไปแน่นะ จบได้หงุดหงิดมาก จนเราแทบจะไปโพสต์ที่เพจของสำนักพิมพ์ให้ช่วยอธิบายตอนจบแล้วอะ คือมันไม่ใช่การจบแบบปลายเปิดด้วยนะ มันเป็นคำพูดหรือจะเรียกว่าอุทานก็ได้มั้งคำนึงของเด็กทอมนั่นที่เป็นภาษาฮินดี แถมเขียนมันทับศัพท์เป็นภาษาไทยอีก ใครไม่งงก็แปลกอะ แล้วก็จบลงไปห้วนๆดื้อๆตรงนั้นเลย จบแบบทิ้งเราอ้าปากหวอแล้วร้องออกมาว่า WTF จริงๆ

ถ้าจะให้สรุปนี่ลำบากนะ คือโทษใครไม่ได้เลยจริงๆน่ะ จะโทษคนแต่งว่าแต่งไม่ดี บอกตรงๆว่าพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเอาเข้าจริงแล้วเราชอบแก่นของเรื่องและสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากๆ แต่อาจจะไปพลาดที่วิธีการเรียบเรียงเรื่องหรือบรรยายพื้นนิสัยและความคิดของตัวละคร เอ๊ะ หรือเราเข้าใจผิดไปเองเกี่ยวกับแมสเสจเลยคาดหวังมากไปหรือเปล่า นี่ก็ทำให้ลังเล หรือจะโทษสำนักพิมพ์ที่โปรโมทดีเกินจริง ก็ยิ่งไม่ได้อีก เพราะเท่าที่อ่านคำโปรยเราเชื่อว่าหลายๆคนที่พอจะมีประสบการณ์ชีวิตอยู่บ้างก็ต้องมีภาพของแมสเสจในหัวไม่ต่างจากเราหรอก เราไม่คิดว่าเราจะคิดไปเองคนเดียวว่าหนังสือนี้พยายามจะบอกอะไรกับคนอ่าน ไอ้ครั้นจะโทษผู้แปลว่าแปลออกมาไม่ได้อรรถรสเหรอ ก็ไม่ใช่อีก เพราะเท่าที่อ่านเราก็ไม่ได้คาใจกับสำนวนการแปลหรืออะไร จะบอกว่าแปลสำนวนดีแต่อาจจะแปลความหมายผิดเพี้ยน เราเลยไม่สามารถเข้าใจประเด็นได้ตามที่คนเขียนอยากจะสื่อ อันนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้อีก เพราะไม่เคยอ่านฉบับจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขียนเป็นอังกฤษหรือฮินดี (เข้าใจว่าน่าจะอังกฤษ เพราะ Dawesar ไม่ได้พำนักในอินเดียนานแล้วและมีสามีเป็นต่างชาติ)  เอาเป็นว่าเรียกแบบสั้นๆว่าเป็นหนังสือที่ดีแต่ดีไม่สุดก็แล้วกัน

อ่านอะไรต่อดี >> The God of Small Things by Arundhati Roy, Funny Boy by Shyam Selvadurai, and Nobody Can Love You More: Life in Delhi’s Red Light District by Mayank Soofi


Tuesday, 22 July 2014

มาเล่น reading bingo กันเถอะ

                                                                                                                                            Source
ห่างหายจากการอัพเดทไปประมาณวีคนึงได้ กลับมาเที่ยวนี้ไม่ให้เสียเปล่านะคะ เรามีอะไรสนุกๆมาให้นักอ่านได้ลองเล่นกันด้วยค่ะ เป็นตาราง reading bingo challenge สำหรับปี 2014 ที่ทางเวบ retreat book club ของ random house เขาทำขึ้นมา ยังไงก็ลองเข้าไปเซฟตารางมาไว้เล่นกันได้ และสำหรับคอ YA ตัวจริงเขาก็มีตารางที่แยกไว้ให้โดยเฉพาะเลยละ รับรองว่ามันแน่นอน ว่าแล้วก็มาดูกันดีกว่าของเราจะได้ไปกี่แถวกันแล้ว 


A book that become a movie - Slumdog Millionaire (aka Q&A) by Vikas Swarup
A book published this year - Bon En France by บองเต่า
A book with a number in the title - Sixty Milloion French Men Can't Be Wrong
A book by a female author - Babyji by Abha Dawesar
A book set in a different continent - Spellbound by Jane Green
The first book by a favourite author - The Kite Runner by Khaled Hosseini
A book you heard about online - The Duff: Designated Ugly Fat Friend by Kody Keplinger
A best-selling book - Midnight's Children by Salman Rushdie
A book based on a true story - Head Over Heel: Seduce by Southern Italy by Chris Harrison
The second book in a series - Next Summer by Haley Abbott (Summer Boys series)
A book of short stories - Dear Life - Alice Munro
A book of non-fiction - Jakarta Undercover II by Moammar Emka
A book that is more than 10 years old - Letters to a Young Poet
The second book in a series - Next Summer by Haley Abbott (Summer Boys series)
Free square - Hundred Foot Journey by Richard C. Morais

ถ้านับจากตอนนี้แล้วก็เหลือเวลาอีก 5 เดือนโดยประมาณ กับอีก 11 โจทย์ตามที่เหลือในตาราง ก็หวังว่าเราจะสามารถตามอ่านและตามเก็บแถวที่ยังขาดได้ครบในเร็ววันนะ ใครที่อ่านเยอะ อ่านไว มีหนังสือตรงตามโจทย์อยู่ในครอบครองเยอะ เราขอท้าเลย มาเล่นด้วยกันนะ 



Thursday, 10 July 2014

Odd Girl Out - ร้ายแบบเด็กผู้หญิง



ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและกำลังอ่านข้อความพวกนี้อยู่ เราอยากจะขอให้คุณนึกย้อนไปในช่วงเวลาวัยเด็กหรือวัยรุ่นของคุณ และตอบคำถามเราแบบตรงไปตรงมาว่าคุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้บ้างหรือไม่

  • เห็นเพื่อนคนนึงดูไม่ค่อยมีคนคบ เลยเข้าไปเล่นด้วยและดีกับเขาอย่างจริงใจ มิหนำซ้ำยังพยายามชวนคนอื่นไปเล่นด้วยอีก แต่ใครๆกลับบอกคุณว่าอย่าไปเล่นกับมันเลย เพื่อนคนนั้นดูเหมือนเป็นคนที่ใครๆก็ไม่อยากคบ
  • แรกๆคุณก็ลำบากใจ แต่คุณเป็นคนดีเกินกว่าที่จะปล่อยให้เพื่อนคนนั้นอยู่เหงาๆคนเดียว เลยตัดสินใจว่าจะเล่นกับเขาต่อไป
  • วันดีคืนดีปรากฎว่าเพื่อนๆคนอื่นที่เคยแอนตี้เด็กคนนั้นกลับไปเล่นกับเด็กคนนั้นแบบหน้าตาเฉย
  • ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นที่คุณพยายามทำดีด้วยอย่างจริงใจมาตลอดกลับเลิกคบคุณซะดื้อๆ รวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆด้วย คุณเป็นหมาหัวเน่าแล้ว
  • ในชั่วโมงลีลาศต้องจับคู่กันเต้นแบบสลับกันไปรอบวง เวลาที่คุณเปลี่ยนไปคู่กับเพื่อนในห้องบางคน เพื่อนคนนั้นจะพยักเพยิดกับเพื่อนสนิทและหัวเราะอะไรกันคิกคักๆก็ไม่รู้
  • หรือแม้แต่ตอนนี้ที่ได้ดูซีรีส์ Hormones แล้วอินกับบทของเต้ยมาก รู้สึกประหนึ่งว่าตัวละครนี้เอาชีวิตฉันไปสร้างยังไงยังงั้นเลย
เราขอถามจากใจจริงว่าคุณเคยเจอเหตุการณ์ข้างต้นนี้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณหรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะรับบทบาทไหนก็ตาม อดีตเด็กหมาหัวเน่าที่ได้กลายมาเป็นคนทิ้งให้เด็กคนอื่นเป็นหมาหัวเน่าบ้าง กลุ่มเด็กที่ชอบแอนตี้คนอื่นโดยไม่มีสาเหตุ หรือแม้แต่เด็กที่ตกเป็นเหยื่อจากการรังแกกันแบบเงียบๆของเด็กผู้หญิง ถ้าคำตอบของคุณคือใช่ฉันเคยเจอ ใช่ฉันเคยทำแบบนั้น และใช่ฉันเคยเป็นเหยื่อแบบนั้น หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นค่ะ

                                         Source

Odd Girl Out หรือร้ายแบบเด็กผู้หญิง เป็นหนังสือที่แต่งโดย Rachel Simmons ว่าด้วยการข่มเหงรังแกกันแบบไม่ใช้กำลังในหมู่เด็กผู้หญิง คนในสังคมไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง ครู หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆรอบข้างอาจจะมองข้ามสิ่งนี้ไป เพราะคิดว่าเป็นการผิดใจกันแบบเด็กๆ แต่ Rachel กำลังบอกกับเราว่ามันคือปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย เด็กผู้หญิงไม่ค่อยรังแกกันทางร่างกายเหมือนเด็กผู้ชาย แต่พวกเธอจะใช้วิธีการที่เราขอเรียกว่าเป็นการลอบกัด การนินทา การทำร้ายกันทางอ้อม การล็อบบี้ให้เพื่อนไม่คบ การโดดเดี่ยว การแอนตี้ การใส่ไฟยุแยงต่างๆ พวกเธอหลีกเลี่ยงการทำร้ายกันซึ่งหน้าตามวิธีของเด็กผู้ชาย เพราะเธอไม่อยากให้สังคมมองว่าเธอร้าย สิ่งที่ทำคือใส่หน้ากากเด็กสาวผู้ใสซื่อเอาไว้แต่มือที่ไพล่หลังถือมืดด้ามโตที่พร้อมจะจ้วงแทงกันเองหากไม่พอใจใครขึ้นมาเมื่อไหร่

เราเองอ่านแล้วอินมากๆเลยนะ Rachel พูดถึงสาเหตุนึงที่ทำให้เด็กผู้หญิงต้องทำร้ายการทางอ้อมแบบนี้ว่ามันเกิดเพราะแรงคาดหวังจากคนในสังคมว่าผู้หญิงต้องอ่อนโยน อ่อนหวาน น่ารัก ช่างดูแล ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีหรือรุนแรง แต่ว่าคนเรามันก็มีมุมเสียๆไง เด็กพวกนี้เลยต้องระบายออกโดยการลอบกัดแบบนั้น เราอ่านถึงตรงนี้แล้วบิงโกเลย คิดกับตัวเองว่านี่ไงที่ชั้นไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นก็ตรงนี้ เพราะเราไม่เคยสนใจว่าสังคมจะคาดหวังอะไรจากเรายังไง เราแสดงออกตามที่เป็นตลอด ใครจะมองว่าเราเป็น bitchy ก็ไม่แคร์ ไม่อยากคบก็ไม่ต้องคบ ไม่พอใจอะไรใครก็เล่นกันไปตรงๆไม่เคยลอบกัด ไม่เคยล็อบบี้ให้ใครเลิกคบใคร ไม่เคยยุแยงใส่ไคล้ใครเลย เรากลับชอบการปะทะกันแบบเด็กผู้ชายมากกว่า มันต่อยกันเสร็จแล้วตกเย็นมันก็ไปเตะบอลด้วยกันได้ แต่เด็กผู้หญิงไม่ใช่แบบนั้น เราเลยไม่ค่อยชอบเข้าสังคมผู้หญิงเท่าไหร่ เข้ากับเด็กผู้ชายได้ดีกว่า

เรื่องเนื้อหานั้นเข้มข้นอย่างชนิดที่วางไม่ลงเลยทีเดียว เพราะเป็นงานที่กลั่นกรองมจากงานวิจัยภาคสนามของ Rachel เองสมัยที่เธอเรียนปริญญาโท และยังมีการสัมภาษณ์เด็กสาวอีกมากมายเพื่อให้เห็นสถานการณ์ที่เรียลยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องสำนวนแปลก็ไม่ต้องพูดถึง สำนักพิมพ์มติชนได้คุณศิริพร เท้น มาแปลให้ เนื้อหาอ่านแล้วลื่นไหลไม่สะดุดอะไรเลย ด้วยตัวเนื้อหาทำให้เราสนใจมากอยู่แล้ว บวกกับสำนวนการแปลที่ไหลลื่นไม่ติดขัด ก็ยิ่งทำให้อ่านสนุกเข้าไปใหญ่

หลังจากที่อ่านจบเราเชื่อว่าคุณผู้หญิงทุกคนจะได้คลายปมในใจในวัยเด็กของตัวเองลงไปบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นเด็กผู้หญิงเลวๆที่ลอบกัดเพื่อนมาก่อน เป็นเด็กเบ๊ในกลุ่มที่ตามน้ำตลอดเวลาที่ควีนบีมันสั่งให้แอนตี้ใครก็ทำตามอย่างไม่ขัดขืนทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด หรือแม้แต่ตกเป็นเหยื่อของเด็กผู้หญิงหน้าสวยใจเสียพวกนั้น และบอกให้เลยว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่หมั่นไส้ผู้หญิงด้วยกันที่มีนิสัยเสียๆแบบผู้หญิงแล้วละก็ หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณนึกเกลียดและขยะแขยงคนเพศเดียวกันขึ้นมาจับใจเลยแหละ

อ่านอะไรต่อดี >>> Queen Bees and Wannabes by Rosalind Wiseman and Schoolgirls: Young Women, Self-Esteem, and the Confidence Gap by Peggy Oreinstein


Wednesday, 9 July 2014

พาเที่ยว Shaman Bookshop



หลังจากที่ปลายเดือนก่อนเราได้พาเที่ยวร้านหนังสือภาษาอังกฤษมือสองอย่าง Dasa Book Café ที่กลายเป็นร้านประจำของเราไปแล้ว มาคราวนี้เราจะขอพาไปเยี่ยมชมร้านหนังสือภาษาอังกฤษมือสองในตำนานอีกแห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนข้าวสารกันบ้างดีกว่า ร้านนี้มีชื่อว่า Shaman bookshop ค่ะ พูดถึงกันเรื่องการเดินทางก่อนเลยเพราะว่าไม่ยากจริงๆ ถ้าเคยไปเที่ยวที่ข้าวสารยังไงก็ไปถูกแน่นอน โดยตัวร้านจะตั้งอยู่ด้านขวามือหากเดินเข้าไปจากฝั่งถนนสิบสามห้าง หรือถ้าเดินมาจากสน.วัดชนะสงครามก็เข้ามาราวๆ 150 เมตรโดยประมาณค่ะ  


ร้านหาไม่ยากแน่นอนเพราะเขามีป้ายเบ้อเริ่มวางไว้หน้าร้านอย่างเด่นชัดแบบนี้เลยค่ะ มีน้องแมวตาโตบนป้ายมาช่วยเรียกแขกหน้าร้านทุกวัน และมีป้ายรับซื้อของนั่นโน่นนี่ด้วยนะ ส่วนมุมล่างขวา เอ่อออ นั่นหัวเพื่อนเราเองนะ ไม่ต้องตกใจ ฮ่าๆ


มาดูหน้าร้านแบบหน้าตรงกันมั่งดีกว่า ทางร้านจะมีชั้นหนังสือแบบโปร่งมาตั้งเรียงกันไว้หน้าร้าน 4-5 ชั้นเห็นจะได้ แต่วันนี้คนเฝ้าร้านไม่ยักกะใช่คนไทยแฮะ สมัยก่อนโน้นเรามาทีไรจะเจอคนไทยตลอดนะ เจ้าของร้านเป็นชาวอิตาเลียนแต่เขาจ้างคนไทยไว้เฝ้าร้าน มาวันนี้ไม่รู้ร้านเปลี่ยนมือหรือยังไง เพราะที่เห็นเป็นสาวแขก หน้าตาดูคล้ายแขกเบงกาลี (แน่ะ มีไปรู้เชื้อชาติเขาอีก) ตั้งแต่เราไปถึงร้านนางก็จ้อโทรศัพท์ไม่หยุดยันเรากลับเลย


มุมนี้ขายแค่เล่มละ 50 บาทเท่านั้น หนังสือยุคเก่าได้ใจ สีเหลืองจนน้ำตาล บางเล่มเกือบๆจะกรอบแล้วด้วยซ้ำ ลองมองดูดีๆเจอหนังสือปลอมด้วยนะน่ะ


มาดูที่ชั้นในฝั่งซ้ายบ้าง โอ้วมายก๊อด ปลอมยกชั้นค่ะคุณพระคุณเจ้า ความจริงจะเรียกว่าปลอมก็คงจะไม่ตรงนัก ต้องบอกว่าเป็นหนังสือเถื่อนหรือหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์จะตรงกว่า เพราะพี่แกเล่นเอามาซีร็อกซ์สีทั้งดุ้นเลย แต่มันก็ไม่เนียนหรอก ยกมาดูใกล้ๆก็รู้แล้ว หนังสือพวกนี้ส่วนมากได้มาจากแถบประเทศเพื่อนบ้านทั้งนั้น


ถ้าเป็นนิยายเก่าคร่ำคร่าแบบในรูปนี้ เก่าจนกระดาษกลายเป็นสีน้ำตาลแถมมีฝุ่นจับหนาเตอะ แบบนี้แสดงว่าเป็นหนังสือแท้แน่นอน แต่ส่วนมากจะไม่เจองานของนักเขียนดังสักเท่าไหร่


เข้ามาในตัวร้านกันซะทีนะ หนังสือเถื่อนยังคงมีให้พบได้ทั่วไปในทุกชั้นและทุกมุม ยังไงก็ต้องเลือกกรองดูดีๆ หลายๆเล่มจะห่อพลาสติคไว้ด้วยและส่วนมากเล่มจริงจะไม่ค่อยห่อแฮะ ก็แปลกดีเหมือนกัน


ถึงร้านจะมีแค่ชั้นเดียวแต่ชั้นหนังสือนี่สูงเทียมเพดานเลย จากภาพเมื่อกี้ถึงได้มีบันไดไว้บริการยังไงละ ลำพังแค่หยิบชั้นที่สูงเกินหัวก็เอื้อมกันจะแย่แล้ว ตามประสาคนสูงน้อยอย่างเรา



คุณน้าฝรั่งคนนี้แกเลือกได้ไปหลายเล่มทีเดียว แต่ไม่รู้ได้ปลอมหรือจริงไป ยังไงก็ขอให้แกโชคดีก็แล้วละกัน เหอๆๆ




ในร้านนี่ร้อนน้อยกว่าที่คิดพอสมควรเลยนะ ตอนก่อนจะเข้าร้านนี่ด้านนอกร้อนมาก แต่เขาติดพัดลมไว้หลายจุดพอสมควร เลยทำให้ร้านไม่อับ พอจะคลายร้อนได้เล็กน้อย

ความจริงการไปครั้งนี้แรกเริ่มเดิมทีเราไม่ได้ตั้งใจจะไปเดินหาหนังสือหรอกนะ แต่พอดีว่าเพื่อนคนอินโดฯมาเที่ยวไทยช่วงหลังสงกรานต์แล้วนางอยากแวะข้าวสาร เราก็เลยสนองศรัทธาซะหน่อย ทำให้นึกขึ้นได้ว่ามีร้าน Shaman อยู่ที่นี่ งั้นลองแวะหน่อยแล้วกัน ไหนๆไปแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยว โอเค กลับมาว่ากันที่เรื่องหนังสือต่อ อย่างที่บอกน่ะค่ะว่ามันมีหนังสือเถื่อนเยอะจริงๆ แถมหลายๆเล่มที่เราเช็คนี่ขายแพงกว่าร้านอื่นๆเช่นตามสวนจตุจักรมาก เราไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ สมัยก่อนที่เราไปข้าวสารบ่อยๆเราแวะที่นี่แทบทุกทีนะ ช่วงปี 2005-2008 น่ะ ถึงจะไม่ได้ซื้อเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยเจอหนังสือเถื่อนเยอะเท่านี้มาก่อนเลย จะมีก็แต่พวกไกด์บุคอย่าง LP หรือ DK ที่พอจะไว้ใจได้ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือหนังสือหมวดอื่นๆนี่พบว่าเป็นของเถื่อนครึ่งต่อครึ่งเลย คือมันเป็นอัตราที่สูงมากเลยนะ เพื่อนเราเองซื้อนิยายคลาสสิคไปเล่มนึง โชคยังดีที่ไม่ปลอม แต่ก็จ่ายไปในราคาที่แพงกว่า Dasa และสภาพแย่กว่าเหมือนกัน ไม่ดีเลย


หลังจากนั้นเราพาเพื่อนเดินไปทางถนนพจักรพงษ์ก็เจอกับอีกร้านนึง ไม่ใช่ร้านขายหนังสือโดยตรงหรอก แค่มีแผงตั้งไว้ขายด้วยนิดหน่อยหน้าร้าน ลองจับๆดูก็เจอหนังสือเถื่อนเหมือนกัน น่าแปลกที่แผง we buy everything ตามถนนรามบุตรีกลับไม่ค่อยเจอแบบนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน สรุปคือคงจะไม่กลับไปซื้ออีกแล้วละ เพราะที่ร้านประจำและตามจตุจักรยังไว้ใจได้มากกว่า แถมราคาก็ถูกกว่าด้วย นี่อะไร ปลอมก็ปลอมแถมขายแพงกว่าของแท้ในร้านอื่นอีก ความจริงเพื่อเครดิตของทางร้านเองถึงนักท่องเที่ยวจะได้หนังสือเถื่อนมาโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม แล้วเอามาขายต่อแบบนี้ ทางร้านน่าจะดูออกและไม่รับซื้อไว้นะ นี่ก็ยังซื้อมาแถมขายแพงชนิดที่ว่าร้านอื่นที่ขายของแท้ขายได้ถูกกว่า หรือไม่ก็เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็ซื้อของจริงมือหนึ่งได้ มันไม่ไหวเลยนะแบบนี้


ขอจบเท่านี้ละกันค่ะสำหรับการพาไปชมร้านหนังสือมือสองเก่าแก่แห่งนึงในถนนข้าวสาร ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสจะพาไปเที่ยวชมร้านอื่นๆอีก แต่จะเป็นที่ไหนต้องอดใจรอกันนะ




Tuesday, 8 July 2014

The DUFF



นี่เป็นครั้งแรกที่เราซื้อนิยาย young adult ตามรีวิวใน YouTube ค่ะ เนื่องจากมี booktuber หลายคนมากที่พูดถึงนิยายเล่มนี้ ทันทีที่ได้ฟังก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องชวนให้ติดตามมากเลย และนี่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า The DUFF ย่อมาจากอะไร


D - Designated

U - Ugly

F - Fat

F - Friend

เรื่องราวมีอยู่ว่าเด็กสาวร่างอวบวัย 17 อย่าง Bianca Piper นั้นถูกหนุ่มหล่อร่านประจำรุ่นอย่าง Wesley Rush ขนานนามด้วยคำเรียกที่แสนจะเจ็บๆคันๆว่า The DUFF ซึ่งหมายถึงคนที่เป็นตัวแถมในแกงค์เพื่อน หน้าตาไม่ได้สะสวย หุ่นไม่ได้ดี แต่เพื่อนในกลุ่มคบไว้เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น นัยว่า The DUFF นี้เป็นมีนให้กลุ่ม จะว่าไปก็เป็นความคิดที่น่าเศร้านะ และถึงแม้คำพูดของ Wesley จะทิ่มแทงใจ Bianca ได้บ้างเล็กน้อย แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ปากจัด ชอบเยาะเย้ยถากถาง และเป็นคนหัวไวพอตัว ก็เลยทำให้เธอมีหมัดเด็ดๆที่จะต่อกรกับเขาได้เสมอๆ เธอมีทั้งหมัดฮุคทางคำพูดและกำปั้นจริงๆเลยละ


แต่แล้วโชคชะตาชีวิตก็เหมือนเล่นตลกกับเธอ เมื่อจู่ๆแม่ของ Bianca ก็ส่งใบหย่ามาให้พ่อเซ็นซะอย่างงั้น ทั้งพ่อและเธอทำอะไรไม่ถูก พ่อเริ่มมีอาการเสียศูนย์และหันกลับไปพึ่งเหล้า และที่ตลกยิ่งไปกว่านั้นคือปัญหาทางบ้านและอะไรอีกหลายๆอย่างทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับ Wesley มากขึ้น ใกล้ชิดกันมากซะจนทั้งคู่เผลอมีอะไรกันเข้าจนได้ Bianca บอกกับตัวเองว่าเธอแค่จะใช้เขาเป็นเครื่องมือในการบำบัดความเจ็บปวดจากปัญหาทางบ้านและเรื่องบางอย่างในอดีตที่ยังคงตามมาหลอกหลอน แต่เรื่องยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากที่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เธอก็เริ่มเห็นมุมที่อ่อนโยนและความพึ่งพาได้ในตัวของเขา และเธอยังพบอีกว่าเขาเองก็มีปัญหาในครอบครัวเหมือนเธอเช่นกัน



บอกเลยก็ได้ว่านิยายเรื่องนี้จบสวยค่ะ มันไม่ได้สนุกขนาดว่าวางไม่ลง ต้องอ่านให้จบรวดเดียวแบบที่พวก booktuber เรียกกันว่า one sitting หรืออะไรแบบนั้นนะ แต่มันก็อ่านได้เรื่อยๆ มีอะไรให้ตามลุ้นพอประมาณ และตอนหลังยิ่งมารู้ด้วยว่านี่เป็นผลงานเรื่องแรกของ Kody Keplinger ที่เธอเขียนเมื่ออายุ 19 ปีเท่านั้น ก็เลยทำให้บรรเทาอาการตงิดๆที่มีต่อ old cliché ไปได้มากพอสมควรเลย เหนือสิ่งอื่นใดไอ้ความรู้สึกของการทะลายกำแพงระหว่างตัวละครทั้งสองตัวก็ทำให้คนอ่านอย่างเราฟินได้เบาๆอยู่เหมือนกันนะ


อ่านอะไรต่อดี >>> Trouble by Non Pratt






Friday, 4 July 2014

June | Book Haul



มาพบกับ book haul แรกของบล็อกกันเลยดีกว่าค่ะ ทบทวนกันสักหน่อยว่าในเดือนที่ผ่านมาเราได้เสียเงินซื้อหนังสืออะไรกันไปบ้าง ซึ่งก็จะมีทั้งหนังสือเก่าและใหม่ปะปนกันไป ไม่ว่าจะซื้อจากร้านประจำหรือสั่งจากทางเนทก็นับรวมไว้ด้วยกันหมด หรือถ้ามีใครให้มาก็จะนับด้วยเช่นกัน สำหรับเดือนมิถุนายนที่เพิ่งผ่านไปนี้ เราได้หนังสือมาทั้งหมด 9 เล่มด้วยกันค่ะ ตามไปดูกันเลย


1. Dear Life - Alice Munro
เล่มแรกนี้คือผลงานเรื่องสั้นของนักเขียนรางวัลโนเบลค่ะ Munro ได้รับรางวัลไปเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมานี้เอง ความจริงเราเองก็ไม่ได้รู้จักเธอมาก่อนหรอก สารภาพตรงนี้เลย แต่เมื่อเดือนพฤษภาฯเราได้อ่านอ่านเพจของสำนักพิมพ์บทจรว่าจะมีการนำ Dear Life มาแปลให้ได้อ่านกัน เห็นหน้าปกแล้วก็ให้เกิดความอยากอ่านขึ้นมายิ่งนัก แต่กว่าจะแล้วเสร็จก็คงต้องรอไปถึงปีหน้าโน่นแน่ะ คนอย่างเรารอไม่ไหวหรอก ก็พอดีกับที่เราเจอว่า Dasa มีเล่มนี้ในสต็อกพอดี ราคาก็กำลังสวยที่ 150 บาท แบบนี้จะไม่ให้จัดยังไงไหว แอบเสียดายที่ว่าไม่ใช่หน้าปกแบบที่เราเห็นมาจากเพจของบทจรแล้วอยากได้ ปกที่ได้มานี่สวยน้อยกว่ากันมากจริงๆ แต่สิ่งที่ชดเชยความรู้สึกคือสภาพมันใหม่มาก เกิน 90% เลยก็ว่าได้ 

 

2. Jane Eyre - Charlotte Bronte
สำหรับเล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสสิคที่เราว่าทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้วละนะ ส่วนตัวเราเองสมัยก่อนมีปัญหาว่าอ่านวรรณกรรมคลาสสิคหรือหนังสือที่มีแนวคิดฉลาดๆและซับซ้อนแล้วเฟลติดๆกันหลายหน ทำให้ขยาดไม่กล้าหามาอ่านอีก เพิ่งจะกลับมาอ่านก็ปีนี้เองแหละค่ะ เลยคิดว่าควรจะเริ่มจากเรื่องที่เนื้อหาเบาๆก่อน ไม่ต้องมีปรัชญาอะไรที่เข้มข้นมาก ก็เลยมาลงตัวที่ Jane Eyre นี่ละค่ะ บวกกับหน้าปกสวยด้วยแหละ ความจริงเราพบเห็นหน้าปกแบบอื่นมาเยอะกว่านะ แต่มาเจอหน้าปกนี้ที่ Dasa มันสะดุดตา แถมราคาและสภาพก็ยังโอเค มีติดเทปใสกันมุมปกงอไว้นิดหน่อยตรงปกหน้ามุมล่าง แต่ด้วยราคา 90 บาท เราเลยไม่คิดมากที่จะซื้อไว้ค่ะ 


3. The Cradle - Patrick Somerville
คงต้องเรียกว่าเป็นม้านอกสายตาเลยก็ว่าได้สำหรับนิยายเล่มนี้ พอดีเราเจอมันที่กองหน้าเคาน์เตอร์ที่ Dasa โดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากองนี้เป็นหนังสือราคาลดพิเศษ เราเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นกองของหนังสือที่เพิ่งรับซื้อมาและยังไม่ได้นำไปเรียงเข้าชั้น ก็เลยไม่กล้าที่จะหยิบมาดู กลัวของเขาเละเทะ แต่วันนั้นเราเห็นคนหยิบดูกันหลายคนเลยลองหยิบบ้าง โอ้ว ได้เรื่องเลยค่ะ ราคาถูกๆทั้งนั้น แต่ที่สะดุดตากับเล่มนี้จนได้กลับบ้านมาด้วยคงเป็นเพราะสภาพที่ยังใหม่จัด เกิน 95% กล้าพูดเลย เหมือนเจ้าของเดิมซื้อไปสุมๆแล้วไม่ได้อ่าน สุดท้ายเอามาขายทิ้งขำๆ กระดาษเหลืองนิดๆเพราะเก็บไว้นาน แต่ไม่ยับไม่ย่น ไม่มีรอยเปิดอ่านด้วยซ้ำ ความจริงเสี่ยงเหมือนกันที่ซื้อนิยายโดยที่ไม่รู้มาก่อนว่ามันคือแนวไหน แต่เท่าที่ลองพลิกคร่าวๆเห็นว่าไม่ใช่แฟนตาซี ไม่มีเผ่าแปลก ไม่รักกันข้ามพันธุ์ ไม่มีโลกมโน แค่นี้ถือว่าใช้ได้สำหรับเราแล้ว ค่าตัวอยู่ค่ะ 49 เท่านั้น ถูกไปไหน


4. Love Monkey - Kyle Smith
นี่ก็เป็นอีกเล่มที่ได้มาด้วยความบังเอิญค่ะ วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่เราตั้งใจว่าจะไปนั่งพักผ่อนที่สวนเบญจศิริสักหน่อย แต่ไปแล้วฟาวล์ สวนโดนทหารปิด ก็เลยไปชิลที่ Dasa ดีกว่า เข้าร้านไปไม่ทันไรก็ติดฝนในร้าน เลือกหนังสืออยู่นานก็ไม่เจออะไรที่อยากได้ เพราะไม่ได้ทำการบ้านไปก่อนด้วย เลือกไม่ถูกเท่าไหร่ เดินวนไปมานานมาก จนมาเจอเข้ากับ Love Monkey ที่กองลดราคาหน้าเคาน์เตอร์นั่นแหละค่ะ ปกแข็งซะด้วย สภาพยังโอเค กระดาษเหลืองเล็กน้อย dust jacket ด้านหน้าตรงขอบบนหักงอนิดหน่อย ไม่ถึงกับน่าเกลียดมาก ตอนนั้นเปิดดูคร่าวๆพบว่าเป็นแนว lad-lit ถือว่าน่าสนใจก็เลยเอาเล่มนี้แหละ กับราคา 79 บาทก็ถือว่าคุ้มนะ เพราะเล่มใหญ่เอาการเลย


5. And the Mountains Echoed - Khaled Hosseini
ด้วยความที่เป็นงานของนักเขียนคนโปรดที่อยากได้มานาน ก็เลยตัดใจถอยมือหนึ่งมาจาก AsiaBooks เลยค่ะ ตอนนั้นที่ไปเข้าใจว่าจะลด แต่ก็ไม่ยักได้ลดแฮะ จ่ายไปราคาเต็มๆที่ 325 บาทค่ะ เบลอไปทั้งวันเลยนะเสียเงินซื้อหนังสือแพงเกิน 300 แบบนี้ ปกติซื้อแต่มือสองจนติด สำหรับเนื้อหาก็ไม่พ้นมิตรภาพที่งดงามของพี่น้องวัยเด็กและสงครามอัฟกานิสถาน หดหู่แต่งดงามคือนิยามของผู้ชายคนนี้ค่ะ


6. Jakarta Undercover II - Moammar Emka
หนังสือเล่มนี้เป็นแนวสารคดีที่มีภาคต่อมาจากเล่มแรกค่ะ เอาจริงๆเราก็ไม่รู้จักมาก่อนหรอก แต่วันนี้เดินเล่นเตร็ดเตร่ที่ AsianBooks สาขาสุขุมวิท แล้วป๊ะเข้ากับชั้น bargain พอดี มีหลายๆเล่มที่ราคาไม่ถึงร้อย ก็เลยลองค้นดูว่าจะได้อะไรติดมือมาบ้าง จนมาสะดุดตาเข้ากับเล่มนี้ค่ะ เรื่องของเรื่องคือเรามีเพื่อนคนอินโดฯหลายคน แต่มีคนที่สนิทที่สุดเพิ่งซื้อหนังสือเกี่ยวกับไทยไป เราเห็นชื่อเล่มนี้เลยอยากซื้อหนังสือของบ้านมันบ้าง ตอนแรกก็เดาโทนไม่ออกนะว่าเกี่ยวกับอะไร พลิกไปอ่านด้านหลังทำเอาตาลุกวาว เพราะเป็นหนังสือที่ตีแผ่ชีวิตกลางคืนใน Jakarta ค่ะ ทั้งพวกขายบริการ คาราโอเกะ อาบอบนวดต่างๆ มีพูดถึงหญิงไทยที่ทางนั้นอิมพอร์ตไปด้วยนะ ที่ฟินมากคือตอนหนังสือเล่มนี้ออกใหม่ๆราคาหย่อนจาก 500 ไปแค่ 5 บาท มาวันนี้ซื้อได้ในราคา 99 เท่านั้น แต่ซื้อช้าไปเป็น 10 ปีเลยนะ ฮ่าๆ


7. Forget You Had a Daughter - Sandra Gregory
บันทึกของหญิงสาวชาวอเมริกันที่มาติดคุกในไทยด้วยข้อหายาเสพติด เธอติดคุกอยู่นานหลายปีทีเดียวกว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื้อหาหนักใช้ได้เลย เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าฝรั่งเขาเรียกคุกบางขวางบ้านเราว่า Bangkok Hilton เป็นคำเปรียบเทียบที่ดาร์กเอาการเลย เล่มนี้ค่าตัวเท่าเล่มเมื่อกี้ที่ 99 บาทค่ะ


8. The Hundred Foot Journey - Richard C. Morais
เล่มนี้เรารู้จักจากการอ่านกระทู้แนะนำหนังค่ะ มีคนบอกว่าปีหน้าจะมีหนังออกมาโดยมีโอปราห์ วินฟรีย์เป็นโพรดิวเซอร์ด้วย อ่านเนื้อหาคร่าวๆแล้วรู้สึกว่าน่าดูและน่าอ่านดี เกี่ยวกับครอบครัวอินเดียที่มีกิจการร้านอาหารในปารีส แต่ซวยมากที่ร้านเปิดตรงข้ามกับภัตตาคารฝรั่งเศสระดับ 3 ดาวมิชลิน มาช่วยลุ้นกันนะว่ากิจการจะไปได้ดีหรือร่อแร่ยังไง ฮ่าๆ ความจริงเราตามเล่มนี้มานานมากแล้วเหมือนกัน เคยมีเข้ามาในสต็อกร้านประจำเราด้วยแหละ แต่เราสั่งช้าไปวันเดียว โดนคนตัดหน้าไปก่อนเลย เจ็บใจมากๆ คราวนี้พอเจออีกไม่มีคนตัดหน้าแล้ว ได้มาง่ายๆสบายๆที่ราคา 190 บาทกับสภาพเหมือนใหม่ มุมล่างขวางอนิดเดียว ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น


9. High Fidelity - Nick Hornby
เป็นนิยาย lad-lit เล่มแรกๆที่เรารู้จักเลยก็ว่าได้ ความจริงรู้จักตัวหนังก่อน ได้ดูแล้วชอบคอนเส็ปท์มากๆ เล่าเรื่องความรักของพระเอกโดยการเปรียบเทียบกับเพลงร็อก เพราะฮีทำงานที่ร้านขายแผ่นเสียง ความจริงที่ Dasa มีหนังสือของ Nick วนเข้ามาเนืองๆเลยนะ เราเองก็หยิบๆจับๆมาหลายทีเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเล่มนี้หรือ About a Boy แต่มันก็เยินจนไม่อยากซื้อ บางทีก็ใหม่แต่แพงไป ถ้าเทียบกับเล่มอื่นๆที่เคยซื้อมาน่ะนะ ก็เลยไม่ได้ฤกษ์ซะที จนในที่สุดมาเจอกับเล่มนี้ที่สภาพเหมือนใหม่ ราคาแค่ 120 บาท เลยยอมควักง่ายๆแต่โดยดี

สำหรับเดือนมิถุนาฯก็จัดไปเบาะๆที่ 9 เล่มแล้วกันค่ะ ยังไงต้นเดือนหน้ามารอดูแล้วกันว่าในกรกฎาคมนี้เราจะซื้อมากน้อยแค่ไหน จะทำยอดไปได้ทั้งหมดกี่เล่ม แต่ก็ตั้งใจว่าจะเพลาๆลงแล้วละ สัญญากับเบบี๋ไว้ว่าจะอ่านของเก่าๆให้หมดก่อนแล้วค่อยซื้อของใหม่ คงต้องควบคุมความอยากให้ได้มากกว่านี้ซะแล้ว เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมดเลย



post signature
Copyright © 2014 That bitch reads!

Designed By Darmowe dodatki na blogi